สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในสหรัฐฯยังน่าวิตก พบผู้ติดเชื้อรายใหม่กว่า 5.7 หมื่น ทุบสถิติยอดผู้ป่วยใหม่อย่างต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน
เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2563 สำนักข่าวรอยเตอร์ได้รายงานว่า ทางการสหรัฐฯพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 รายใหม่มากกว่า 57,000 รายถือเป็นจำนวนผู้ป่วยใหม่ต่อวันที่มากที่สุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาด และเป็นการทุบสถิติดังกล่าวต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน
หลังจากที่เมื่อวาน สหรัฐฯพบผู้ป่วยรายใหม่ 51,000 รายและเมื่อวันอังคาร ที่ทางการสหรัฐฯพบผู้ปวย 47,000 ราย ซึ่งจำนวนผู้ป่วยใหม่ในครั้งนี้ถือว่าพุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับสองสัปดาห์ก่อนหน้านี้ที่ทางการสหรัฐฯพบผู้ป่วยใหม่ต่อวันราวๆ 22,000 รายต่อวันเท่านั้น
จากการสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์ยังพบอีกว่ามี 37 รัฐจาก 50 รัฐที่มีผู้ป่วยใหม่ต่อวันเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสองสัปดาห์ก่อน โดยรัฐที่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือรัฐฟลอริดาที่พบผู้ป่วยใหม่มากกว่า 10,000 ราย และทำให้ยอดผู้ป่วยสะสมภายในรัฐเข้าใกล้ 170,000 ราย ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่าสาเหตุที่ตัวเลขในรัฐฟลอริดาพุ่งสูงขึ้นเนื่องจากทางการเลือกเปิดเมืองในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามนายรอน เดซานติส (Ron DeSantis) ผู้ว่าการรัฐฟลอริดาค้านว่าสาเหตุที่จำนวนผู้ป่วยสูงขึ้น เนื่องจากชาวสหรัฐฯประมาทเพราะคิดว่าเชื้อไวรัสหยุดระบาดแล้ว
...
ด้านนางแพทย์ฮิลารี แฟร์บราเธอร์ (Hilary Fairbrother) แพทย์หญิงประจำเทกซัสระบุว่าวิธีเดียวที่จำนวนผู้ป่วยจะลดลงคือชาวสหรัฐฯจำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด โดยล่าสุด นายเกร็ก แอบบอตต์ (Greg Abbott) ผู้ว่าการรัฐเทกซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกคำสั่งให้ประชาชนทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน เพื่อยกระดับมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 โดยทางการจะสั่งปรับประชาชนที่ขัดขืนคำสั่งเป็นเงินเกือบ 8,000 บาท ทั้งนี้เด็กเล็ก, ประชาชนที่ออกกำลังกายหรือกำลังทานข้าวนอกบ้านจะได้รับการละเว้นคำสั่งดังกล่าว
ก่อนหน้านี้นายแอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อในสหรัฐฯได้ออกมากล่าวว่ามีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯจะพบผู้ป่วยใหม่มากถึง 1 แสนรายต่อวัน
ขณะนี้ ประเทศสหรัฐอเมริกามียอดผู้ป่วยสะสมมากกว่า 2,800,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 130,000 ศพ.