มนุษย์ไม่เพียงแค่บริโภคสินค้าและบริการ แต่ยังบริโภคภาพลักษณ์และจุดยืนของสินค้าและบริการนั้นด้วย อย่างแชมพูสระผมในสหภาพยุโรปต้องเขียนข้างกล่องด้วยว่าไม่ใช้สัตว์ในการทดลอง เพื่อจะบอกว่าบริษัทผู้ผลิตใส่ใจในสิทธิสัตว์ สินค้าหลายประเภทเขียนว่าไม่ใช้แรงงานเด็กและสตรีมีครรภ์ ฯลฯ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวดองหนองยุ่งกับคุณภาพสินค้าเลย

ที่กำลังกระทบตอนนี้คือสัญชาติของแบรนด์สินค้าและบริการ ที่โดนหนักกว่าพวกก็เป็นสินค้าและบริการของจีน เป็นที่รู้กันว่าบริษัทจีนที่โดนกีดกันอย่างมากในซีกโลกตะวันตก

ส่วนที่อินเดียซึ่งมีผู้บริโภคขนาด 1,300 ล้านคน ก็กำลังต่อต้านสินค้าและบริการของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าด้านเทคโนโลยีและแอปพลิเคชัน เรื่องนี้เป็นผลมาจากความขัดแย้งและการกระทบกระทั่งกันระหว่างทหารของอินเดียและจีนตามชายแดน ถึงแม้จะมีข้อตกลงว่าห้ามใช้อาวุธปืนและวัตถุระเบิด แต่ทหารของจีนและอินเดียก็ซัดกันโดยต่อสู้ด้วยมือเปล่าและอาวุธอื่นที่ทำจากวัสดุในพื้นที่แบบง่ายๆ

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้วกระทบต่อภาพลักษณ์ของสินค้าทุกประเภทอย่างแรง สินค้าอินเดียไม่ค่อยมีขายในจีนแต่สินค้าจีนมีขายในอินเดียมาก ตอนนี้คนอินเดียกำลังปฏิบัติการจิตวิทยาปลุกปั่นต่อต้านสินค้าแบรนด์จีน

ขณะที่ผมกำลังนั่งเขียนคอลัมน์ฉบับนี้ กระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศของอินเดียเตรียมขึ้นบัญชีดำแอปพลิเคชันที่พัฒนาโดยผู้ผลิตจากจีน 59 รายการ โดยรัฐบาลอินเดียบอกว่าแอปฯของจีนสร้างความเสียหายให้กับอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของอินเดีย กิจการกลาโหมของอินเดีย รวมทั้งความมั่นคงแห่งรัฐและความสงบเรียบร้อยของประชาชน

...

ก่อนหน้าที่จะมีการปะทะกันแถบชายแดนหิมาลัยเมื่อ 15 มิถุนายน 2563 คนอินเดียยังเล่นติ๊กต่อกและยังสื่อสารผ่านทางวีแชตได้ แต่หลังจากเหตุการณ์ปะทะกัน รัฐบาลอินเดียก็อ้างว่าได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่าแอปฯจีนละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้ใช้งาน รัฐบาลอินเดียจึงขึ้นบัญชีดำแอปฯจีน งานนี้โดนหมดเลยครับ ทั้งวีแชต ติ๊กต่อก ไป่ตู้ แมป เฮโล เว่ยป๋อ ฯลฯ

อย่างเสี่ยวมี่ซึ่งเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและสินค้าอีกบานเบอะเยอะแยะตาแป๊ะไก๋ก็โดนคนอินเดียแบน ถึงขนาดตอนนี้ร้านค้าแต่ละแห่งที่ขายเสี่ยวมี่ในอินเดียต้องติดโลโก้ “ผลิตในอินเดีย” ไว้ที่นอกร้านค้า ถ้าจะเผาก็ให้ไปเผานอกร้าน นอกจากนั้น ยังไม่ให้พนักงานขายสวมเครื่องแบบของแบรนด์เสี่ยวมี่ เพราะกลัวคนอินเดียที่มีความรักชาติสูงจะเข้ามาทำร้ายและทำลายของ

แม้ว่าจะมีผลกระทบอย่างนี้ แต่สินค้าจีนอย่างเสี่ยวมี่ก็ยังขายคุณภาพสินค้าของตัวเองได้และทำให้ยังมียอดขายอยู่ ถึงขนาดที่สมาร์ทโฟนของเสี่ยวมี่ครองตลาดร้อยละ 30 สมาร์ทโฟนที่ขายได้ดีท็อป 5 มีของบริษัทจีนถึง 4 บริษัท และอีก 1 บริษัท เป็นซัมซุงของเกาหลีใต้

รัฐบาลอินเดียบอกว่าตัวเองมีแผนที่จะขึ้นภาษีนำเข้าและสร้างอุปสรรคต่อสินค้าจีน โดยอ้างว่า ต้องการที่จะส่งเสริมสินค้าที่ผลิตในประเทศ ผู้จัดการเสี่ยวมี่ในอินเดียก็ออกมาบอกว่าไม่กลัวภาษีนำเข้า เพราะมากกว่าร้อยละ 99 ของโทรศัพท์เสี่ยวมี่ที่ขายในอินเดียผลิตในอินเดีย และสินค้าอื่นของเสี่ยวมี่ก็ใช้ส่วนประกอบมากกว่าร้อยละ 65 จากอินเดีย

ประเทศที่มีประชากรเบอร์ 1 และเบอร์ 2 ของโลกคือจีนกับอินเดีย รวมพลเมือง 2 ประเทศก็มีมากเกือบ 3 พันล้านคน สิบกว่าปีที่ผ่านมา มีความพยายามสร้างคำว่า “CHINDIA” หรือชินเดีย (China+India) มีการโปรโมตครอบครัวที่แต่งงานระหว่างคนจีนกับอินเดีย ฝรั่งกลัวชินเดียมากนะครับ เพราะสองประเทศนี้เก่งทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคโนโลยีหรือการทำมาค้าขาย ถ้าชินเดียเข้มแข็ง มหาอำนาจตะวันตกก็สู้ชินเดียลำบาก

การทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างจีนกับอินเดีย ทำให้สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปหันหน้าเข้าข้างฝาแล้วแอบยิ้มกันใหญ่ครับ.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com