สภาประชาชนจีนลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ ผ่านกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฮ่องกงแล้วในวันอังคารที่ 30 มิ.ย. 2563 วันเดียวก่อนจะถึงวันครบ 23 ปี ที่อังกฤษคืนฮ่องกงให้กับจีน ซึ่งมักเกิดการประท้วงต่อต้านรัฐบาลและเรียกร้องประชาธิปไตยเป็นประจำทุกปี
กฎหมายฉบับนี้มีมาตรการลดทอนขีดความสามารถในการประท้วงและเสรีภาพทางการแสดงออก จนเกิดความกังวลว่า ฮ่องกงจะสูญเสียสิทธิที่พวกเขาเคยมีไปหรือไม่ แม้นางแครี แลม ผู้บริหารสูงสุดจะยืนยันว่า มาตรการเหล่านี้มีผลต่อคนกลุ่มเล็กๆ และไม่กระทบต่ออำนาจปกครองตนเองของฮ่องกงอย่างแน่นอน ขณะที่ฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยในฮ่องกงต่างพากันประกาศถอนตัว หรือหนีไปต่างประเทศเป็นจำนวนมาก เพราะกลัวถูกลงโทษ
ล่าสุดจีนเปิดเผยรายละเอียดของกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติออกมามากขึ้นอีก กฎหมายฉบับนี้ทำอะไรได้บ้าง ทำไมจึงทำให้เกิดความกังวลเรื่องเสรีภาพ และมันจะเปลี่ยนแปลงฮ่องกงอย่างไร
...
*กฎหมายใหม่ ทำอะไรบ้าง?
กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติใหม่ประกอบด้วย 6 หมวด และ 66 มาตรา เริ่มมีผลบังคับใช้แล้วในเวลา 23:00 น. วันอังคารที่ 30 มิ.ย. โดยมีผลต่อพลเมืองฮ่องกงทั้งแบบถาวรและไม่ถาวร
ตามรายงานของสำนักข่าว อัลจาซีรา กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติช่วยให้จีนทำลายกำแพงที่ขวางกั้นระหว่างระบบตุลาการอันเป็นอิสระของฮ่องกง กับศาลที่พรรคคอมมิวนิสต์ควบคุมในแผ่นดินใหญ่ลง โดยจีนจะจัดตั้งสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติในฮ่องกง บริหารงานโดยเจ้าหน้าที่ที่ไม่ถูกผูดมัดด้วยกฎหมายท้องถิ่น ทำหน้าที่เก็บข้อมูลข่าวกรอง และดูแลคดีอาชญากรรมต่อความมั่นคงของชาติ
ขณะเดียวกันฮ่องกงจะต้องตั้งคณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติของตัวเองขึ้นมาเพื่อบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ โดยมีผู้ที่รัฐบาลปักกิ่งแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษา ส่วนนางแคร์รี แลม ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกงจะมีอำนาจแต่งตั้งผู้พิพากษาเพื่อพิจารณาคดีเกี่ยวกับความมั่นคง
โดยกฎหมายกำหนด 3 กรณีที่อนุญาตให้จีนเข้ามาควบคุมการดำเนินคดีของฮ่องกงได้ คือคดีที่มีการแทรกแซงจากต่างชาติ, คดีที่มีความร้ายแรงสูงมาก และเมื่อความมั่นคงของชาติเผชิญกับภัยคุกคามอย่างรุนแรงและจริงจัง โดยที่สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติและฮ่องกง สามารถส่งคำร้องขอส่งต่อคดีไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งคดีจะได้รับการดูแลโดยสำนักงานอัยการประชาชนสูงสุด และการไต่สวนจะเกิดขึ้นในศาลประชาชนสูงสุด
ส่วนคดีเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งชาติที่มีข้อมูลความลับของชาติ อาจถูกพิจารณาคดีอย่างเป็นความลับในฮ่องกง โดยไม่มีคณะลูกขุน แต่คำตัดสินและคำพิพากษาจะถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะ
...
*ควบคุมการประท้วงเบ็ดเสร็จ
กฎหมายยังกำหนดว่า “ไม่ว่าจะมีการใช้ความรุนแรงในรูปแบบใด หรือการข่มขู่ใช้ความรุนแรงใดๆ เกิดขึ้น ผู้นำ หรือผู้ก่อความผิดร้ายแรงจะต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือขั้นต่ำคือจำคุก 10 ปี” หมายความว่า ผู้ที่ออกมาประท้วงด้วยความรุนแรงเหมือนที่เกิดขึ้นเมื่อปีก่อน จะถูกลงโทษอย่างหนัก
ส่วนผู้ที่ทำลายอาคารรัฐบาลและสิ่งสาธารณูปโภค จะถือว่ามีความผิดฐาน “บ่อนทำลาย” การสร้างความเสียหายต่อภาคการขนส่งสาธารณะ และการวางเพลิงจะถือเป็นพฤติกรรม “ก่อการร้าย” และใครก็ตามที่เข้าร่วมกับกิจกรรมการแบ่งแยกดินแดน ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดหรือผู้เข้าร่วม จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายไม่ว่าจะมีการใช้ความรุนแรงหรือไม่ก็ตาม
กฎหมายความมั่นคงฉบับนี้จะไม่มีการลงโทษย้อนหลังสำหรับความผิดที่เกิดขึ้นก่อนกฎหมายบังคับใช้ โดยยังมีข้อกำหนดย่อยๆ อีกหลายอย่าง เช่น บริษัทหรือกลุ่มองค์กรใดที่ละเมิดกฎหมายความมั่นคงจะถูกปรับ หรืออาจถึงขั้นระงับการปฏิบัติการ, ผู้ที่ถูกตัดสินว่าละเมิดกฎหมายความมั่นคงจะไม่สามารถใช้สิทธิ์เลือกตั้งในฮ่องกงได้ และทางการสามารถสอดแนมหรือดักฟังโทรศัพท์ผู้ต้องสงสัยที่อาจเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติได้
...
*ฮ่องกงจะเปลี่ยนไปอย่างไร?
ประเด็นหลักๆ ที่ทั้งชาวฮ่องกงและชาติตะวันตกกังวลเกี่ยวกับกฎหมายฉบับนี้ คือเรื่องการลิดรอนสิทธิเสรีภาพที่ชาวฮ่องกงมี ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เขตบริหารพิเศษแห่งนี้แตกต่างจากพื้นที่อื่นๆ ของจีน ทั้งเสรีภาพในการแสดงออก, สิทธิ์ในการประท้วง และการพิจารณาคดีตามกฎหมายที่เป็นอิสระและเข้มแข็ง ซึ่งจากข้อมูลที่เปิดเผยออกมา สิทธิ์เหล่านี้ดูเหมือนจะถูกลดทอนลงไปมาก
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เกิดการประท้วงรุนแรงในฮ่องกงหลายระลอก รวมทั้งการประท้วงต่อต้านกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนเมื่อปีก่อน ที่ต่อเนื่องยาวนานหลายเดือน และบานปลายกลายเป็นการเรียกร้องประชาธิปไตยเป็นวงกว้างในฮ่องกง ซึ่งอาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายให้จีนผลักดันกฎหมายความมั่นคงอีกครั้ง
นายสตีเฟน แมคโดเนลล์ นักวิเคราะห์และนักข่าวบีบีซีในประเทศจีน เชื่อว่า กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับนี้เป็นเครื่องมือแบบปลายเปิด สำหรับควบคุมการปลุกปั่นทางการเมือง คล้ายกับกฎหมายในแผ่นดินใหญ่ ที่สามารถถูกควบคุมให้ตรงกับความต้องการของพรรคคอมมิวนิสต์ เพื่อจัดการกับความเคลื่อนไหวใดก็ตามที่พวกเขามองว่าเป็นภัย
และการที่นางแคร์รี แลม มีอำนาจเลือกผู้พิพากษามาดูแลคดีความมั่นคง จะทำให้ผู้ประท้วงที่มีพฤติกรรมบ่อนทำลายเช่น สร้างระเบิดและการทำลายอาคารหรือทรัพย์สิน ไม่อาจรอดพ้นจากการลงโทษได้อีก ขณะที่การพบปะกับหน่วยงานเอ็นจีโอต่างชาติ เพื่อคุยเรื่องเสรีภาพของฮ่องกงที่ถูกลิดรอน ก็อาจมีความผิด การพูดถึงการแยกตัวเป็นอิสระของฮ่องกงอย่างเปิดเผยเหมือนในอดีตก็ทำไม่ได้อีกต่อไป
...
*ผลกระทบเกิดขึ้นแล้ว
นายโจชัว หว่อง และแกนนำเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกงคนอื่นๆ เช่นนาย นาธาน หลอ และน.ส. แอกเนส ชอว์ ประกาศถอนตัวจากพรรค เดโมซิสโต ที่เรียกร้องให้ชาวฮ่องกงมีสิทธิ์ตัดสินอนาคตของตัวเอง รวมทั้งโหวตแยกตัวออกจากจีน ซึ่งมีโอกาสที่จะมีความผิดภายใต้กฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ ทั้ง 3 คนยังมีส่วนอย่างยิ่งในการล็อบบี้ต่างชาติให้กดดันจีนเรื่องฮ่องกง ซึ่งอาจมีความผิดฐานสมคบกับต่างชาติ
หลังจากนั้น เดโมซิสโต ก็ประกาศยุบพรรค เช่นเดียวกับพรรคฝ่ายหนุนการแยกตัวเป็นอิสระอีก 2 กลุ่มคือ พรรค ‘แนวหน้าแห่งชาติฮ่องกง’ และพรรค ‘Studentlocalism’ นักเคลื่อนไหวหลายคนเช่นนายเวย์น ชาน ก็หนีออกจากฮ่องกงไปแล้ว เพราะกลัวว่าจะถูกเอาผิดย้อนหลังฐานร่วมการประท้วงรุนแรงเมื่อปีก่อน
ขณะเดียวกัน ร้านค้ากับธุรกิจต่างๆ ในฮ่องกงที่ก่อนหน้านี้แสดงออกอย่างเปิดเผยว่า สนับสนุนการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตย ก็เริ่มปลดป้ายสโลแกน และภาพที่อาจผิดกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่นี้แล้ว