สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้แผ่ขยายความรุนแรงไปเกือบทั่วโลก โดยทวีปยุโรปเป็นจุดแพร่ระบาดที่หนักหนาสาหัสที่สุด ในขณะที่บ้านเราเองตัวเลขเป็นทางการขยับสูงจนน่าสะพรึงกลัว

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่แตกต่างไปจากสงครามโลก เพียงแต่การต่อสู้ที่เกิดขึ้นเป็นมนุษย์ต่อสู้กับเชื้อโรคที่ยังหาวิธีเอาชนะไม่ได้ ดังนั้น ความสูญเสียและผลกระทบที่เกิดขึ้นยังคงขยายวงกว้างขึ้น

แม้กระทั่งยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐฯเองต้องหามาตรการเร่งด่วนออกมาต้านการแพร่ระบาด ซึ่งหนึ่งในมาตรการนั้นก็คือการห้ามคนและสินค้ามาจากฝั่งยุโรป

ภายหลังการประกาศก็มีบริษัทไอทีอย่าง “ทวิตเตอร์” (Twitter) ได้ประกาศผ่านบล็อกโพสต์เรื่องนโยบายการทำงานที่บ้าน ถึงพนักงานทวิตเตอร์ทั่วโลกจำนวน 4,900 คน เพื่อแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าว

โดยทวิตเตอร์ ระบุว่า จะยังคงจ่ายเงินให้กับคู่สัญญา พนักงานว่าจ้างรายชั่วโมง และผู้ขายตามชั่วโมงการทำงานปกติ หากพวกเขาไม่สามารถทำงานที่บ้านได้ บริษัทจะออกค่าใช้จ่ายทดแทนสำหรับการติดตั้งโฮมออฟฟิศ รวมทั้งบรรดาพ่อแม่ที่อาจต้องจ่ายค่าดูแลเด็กเพิ่มเติม

ก่อนหน้านี้ทวิตเตอร์ก็ได้สนับสนุนการทำงานที่บ้านอยู่แล้ว แต่นี่เป็นการประกาศบังคับเลย ขณะที่หลายๆบริษัทเทคโนโลยีก็มีนโยบายดังกล่าวนี้เช่นกัน เช่น “กูเกิล” ได้ร้องขอให้พนักงานทั่วโลกทำงานอยู่บ้านก่อน จากก่อนหน้านี้ได้ร้องขอให้พนักงานที่อยู่ในทวีปอเมริกาเหนือกว่า 100,000 คน ทำงานอยู่บ้าน

รวมทั้งอเมซอนซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่เมืองซีแอตเติล รัฐวอชิงตัน ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองที่เกิดการแพร่ระบาดและมีผู้เสียชีวิต ไม่ให้พนักงานเข้ามาบริษัทในรัฐวอชิงตัน, แคลิฟอร์เนียและนิวยอร์ก เป็นต้น เช่นเดียวกับไมโครซอฟท์และเฟซบุ๊ก

...

สำหรับ “แอปเปิล” ได้สนับสนุนให้พนักงานในหลายๆประเทศทำงานที่บ้านและปิดร้านแอปเปิลสโตร์ในประเทศอิตาลีทั้งหมดจากที่ปิดชั่วคราวในจีน และมาตรการห้ามพนักงานในแอปเปิลสโตร์และตัวแทนจำหน่ายเลิกแนะนำให้ลูกค้าทดลองนาฬิกา Apple Watch และหูฟังไร้สาย Airpod เป็นมาตรการลดความหนาแน่นของลูกค้าเพิ่มเติม

ล่าสุดบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ผนึกกำลังหาแนวทางช่วยเหลือรัฐบาลสหรัฐฯ ในการใช้เทคโนโลยีช่วยเหลือการสู้ศึกกับวิกฤติไวรัสโควิด-19!!

หนุ่มดิจิทัล
cybernet@thairath.co.th