ตลาดหุ้นทั่วโลกลดลงอย่างหนักจากความกังวลของนักลงทุนว่า การแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 จะทำลายเศรษฐกิจโลก ขณะที่รัฐบาลก็มีมาตรการไม่เพียงพอที่จะคลายความกังวลนี้ได้

สำนักข่าว บีบีซี รายงานว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทก็ดิ่งลงทันทีตั้งแต่เริ่มเปิดการซื้อขายในวันพฤหัสบดีที่ 12 มี.ค. 2563 ทำให้มาตรการ ‘เซอร์กิต เบรกเกอร์’ หรือ หยุดซื้อขายชั่วคราว ทำงานโดยอัตโนมัติเป็นครั้งที่ 2 ภายในเวลาเพียง 4 วัน แต่หลังจากตลาดปิดอีกครั้งใน 15 นาทีต่อมา หุ้นก็ยังคงร่วงหนักตามรอยตลาดในยุโรป

ท้ายที่สุด ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงไปถึง 2352.60 จุด หรือราว 9.99% ปิดที่ 21200.61 จุด ซึ่งนับเป็นการลดลงมากที่สุดภายในวันเดียวนับตั้งแต่ปี 2530 เช่นเดียวกับดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ปิดลบถึง 9.5% ขณะที่ดัชนีแนสแด็กก็ลดลง 9.4%

ขณะที่ดัชนี FTSE 100 ของอังกฤษลดลงมากกว่า 10% ถือเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 32 ปี ทำให้เงินหายไปจากตลาดถึง 1.6 แสนล้านปอนด์ ขณะที่ดัชนีหุ้นในฝรั่งเศสและเยอรมนีก็ลดลงมากกว่า 12%

การลดลงดังกล่าวมีปัจจัยจากคำสั่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ห้ามผู้ที่เดินทางมาจากชาติยุโรปยกเว้นสหราชอาณาจักร เข้าประเทศ ขณะที่ความเสียหายในตลาดยุโรปแรงขึ้นอีก หลังจากธนาคารกลางยูโรโซนล้มเหลวในการตัดลดอัตราดอกเบี้ย แม้พวกเขาจะให้คำมั่นว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ตาม

ขณะที่การประกาศอัดฉีดเงิน 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดของตลาดตราสารหนี้ ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ทำให้หุ้นวอลล์สตรีทขยับขึ้นมาช่วงหนึ่งก่อนจะดิ่งลงไปอีก