ทรัมป์มองจีนเป็นคู่แข่งอันดับ 1 และมองอิหร่านเป็นศัตรูอันดับ 2 บังเอิญว่าศัตรูของสหรัฐฯทั้งสอง ต่างเดี้ยงจากโควิด-19 เหมือนกัน หลายท่านมโนไปไกลถึงขนาดว่า ขณะนี้สหรัฐฯ น่าจะมียารักษาหรือวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เตรียมพร้อมไว้แล้วเสียด้วยซ้ำ
75 ปีที่แล้ว สหรัฐฯมองญี่ปุ่นเป็นศัตรูในสงครามโลกครั้งที่ 2 สมัยนั้น ญี่ปุ่นเก่งขนาดจับพวกฝรั่งมังค่ามาเป็นเชลยศึกให้ยืนเป็นแถวแนวยาว
สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มในยุโรปเมื่อ พ.ศ.2482 และขยายต่อมาทางเอเชีย เยอรมนีผู้นำฝ่ายอักษะยอมแพ้เมื่อ 8 พฤษภาคม 2488 ซึ่งเป็นวันยุติสงครามทางภาคพื้นยุโรป ส่วนทางเอเชีย ญี่ปุ่นเริ่มการรบโดยการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ รวมทั้งโจมตีประเทศในเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พร้อมกันในเดือนธันวาคม 2484
ขณะที่การต่อสู้ในสงครามการค้า เอ๊ย สงครามภาคพื้นเอเชีย กำลังโรมรันพันตูอยู่นั้น ประธานาธิบดีแฮร์รี เอส ทรูแมน ออกคำสั่งลับสุดยอดให้ใช้โควิด-19 เอ๊ย ระเบิดปรมาณูฆ่า เพื่อกำราบญี่ปุ่นให้กลัว โดยให้หย่อนระเบิดลงไปในเมืองฮิโรชิมะและนครเกียวโต
มีคนค้านการเอาระเบิดไปลงที่เกียวโต เพราะเป็นการทำลายสถานที่ที่เป็นเมืองเก่าที่เคยเป็นเมืองหลวง เป็นนครที่มีศิลปวัฒนธรรมชั้นสูง บั้นปลายท้ายที่สุด ทรูแมนก็เปลี่ยนคำสั่งลับ ให้เอาระเบิดไปหย่อนเพื่อฆ่าคนญี่ปุ่นที่เมืองนางาซากิแทน
ผมเล่าถึงการทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิมะ ไม่ใช่ต้องการบอกว่าผู้นำสหรัฐฯคนปัจจุบันมีคำสั่งลับให้สร้างไวรัสโคโรนา 2019 เหมือนอดีตประธานาธิบดีทรูแมนออกคำสั่งลับเมื่อ 75 ปีที่แล้วเพื่อหยุดยั้งการผงาดขึ้นมาของเอเชียญี่ปุ่น ผมเพียงแต่อยากเล่าถึงวิธีการของสหรัฐฯในการหยุดยั้งศัตรูหรือคู่แข่ง ว่าในอดีตสหรัฐฯเคยใช้วิธีการอย่างไรมาบ้าง
...
6 สิงหาคม 2488 เครื่องบินอีโนลาเกย์บินตามบี 29 ซึ่งเป็นเครื่องบินนำร่องตรวจสภาพอากาศ เมื่อบี 29 ทะยานผ่านน่านฟ้าเมืองฮิโรชิมะ ประชาชนคนทั้งหลายต่างวิ่งหนีเข้าที่กำบังด้วยความกลัว เมื่อบี 29 พุ่งผ่านไปแล้ว ทุกคนก็โล่งใจ ออกมาใช้ชีวิตตามปกติ โดยที่ไม่มีใครคิดมาก่อนเลยว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะสั่งให้เครื่องอีโนลาเกย์หย่อนระเบิดใส่ประชาชนที่มีทั้งคนแก่ เด็ก หรือแม้แต่ทารก ให้ตายภายในเวลา 43 วินาที ที่ระเบิดปรมาณูถูกหย่อนลงไปเมื่อ 08.15 นาฬิกาของเช้าวันนั้น
เพียง 43 วินาที กลไกของระเบิดที่ใช้ยูเรเนียมก็ปล่อยพลังงานออกมาในปริมาณมหาศาล ประกายแลบแปล๊บปล๊าบจากลูกไฟขนาดใหญ่ที่มีวงกว้างถึง 300 เมตร ทำให้อุณหภูมิเหนือแผ่นดินฮิโรชิมะร้อนถึง 4,000 องศาเซลเซียส
สหรัฐฯ เหี้ยมอำมหิตกับมนุษย์ผู้บริสุทธิ์ การสงครามควรจะซัดกันให้ตายกลายเป็นผีระหว่างนักรบกับนักรบ ทหารญี่ปุ่นทำร้ายผู้คนไว้เยอะ สหรัฐฯก็ควรตั้งหน้าตั้งตาฆ่าทหารญี่ปุ่นแต่นี่คุณใช้ความร้อนที่มีอุณหภูมิถึง 4,000 องศาเซลเซียสไปละลายพลเรือน หากไม่ระเหยกลายเป็นไอ ก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปภายในเสี้ยววินาที
ผู้บริสุทธิ์นับหมื่นถูกมหันตภัยลูกไฟใหญ่ ละลายหายไปในอากาศธาตุ ประชาชนที่อยู่ห่างไกลออกไปก็ถูกไฟลวก เจ็บปวดทรมานร้าวรานทั้งร่างกาย
ฟ้าสว่างแล้ว ทว่า หลังแปดนาฬิกาสิบห้านาทีของวันที่ 6 สิงหาคม 2488 ความสลัวมืดมัวกลับปกคลุมไปในทุกทิศทาง ทุกตรอกซอกมุมของฮิโรชิมะหม่นมัวสลัวไปด้วยควัน ในระยะสายตาที่พอเพ่งเห็นในท่ามกลางความมัวสลัว คือซากมนุษย์
อเมริกาฆ่าคนบริสุทธิ์มากถึง 2.2 แสนคนภายในเวลาเสี้ยวนาที ยังไม่นับรวมถึงผู้เจ็บป่วยที่เกิดจากอันตรายของกัมมันตภาพรังสีที่ตามมาภายหลังอีกนับแสนนับล้านคน
หลายท่านค้านว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครออกคำสั่งลับให้สร้างโควิด-19 เพื่อทำให้คนบริสุทธิ์ทั่วโลกป่วยตายไปมากถึง 2 พันคน เพราะนั่นมันเป็นคำสั่งที่อำมหิตเกินไป
อย่าคิดว่ามนุษย์ไม่กล้าทำ
เพราะการฆ่าผู้บริสุทธิ์ 2.2 แสนคนใน 43 วินาที
ยังทำมาแล้ว.
นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com