พ.ศ.2548 อาจารย์นิติภูมิธณัฐ มิ่งรุจิราลัย ถูกชวนให้ไปสำรวจป่าชายแดนสาธารณรัฐคีร์กีซและคาซัคสถาน แถวนั้นเป็นที่ราบที่สามารถเดินข้ามไปข้ามมาในดินแดนของทั้ง 2 ประเทศได้ อาจารย์พบแคมป์ใหญ่ซึ่งเป็นที่ตั้งของเสาสูงจำนวนหนึ่งในคีร์กีซ สอบถามได้ความว่าที่นี่เคยเป็นสถานที่เช่าของพวกอเมริกัน แต่หลังจากที่การเมืองเปลี่ยน ผู้คนก็กดดันรัฐบาลให้ยกเลิกสถานที่เช่าของสหรัฐฯแห่งนี้

ต่อมาคีร์กีซเป็นสมาชิกองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นองค์กรหลักของรัสเซียและจีนในการสู้กับอิทธิพลของสหรัฐฯ ตั้งแต่นั้นมา สหรัฐฯก็เล่นงานคีร์กีซมาตลอด แม้แต่เมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2563 ทรัมป์ยังสั่งห้ามให้วีซ่าเข้าสหรัฐฯรอบใหม่กับพลเมือง 6 ประเทศ ก็ยังมีชื่อของคีร์กีซติดกลุ่มนี้อยู่ด้วย (เมียนมา เอริเทรีย ไนจีเรีย ซูดาน แทนซาเนีย และคีร์กีซ)

พ.ศ.2535-2539 สหรัฐฯบุกเอเชียกลางโดยกะจะใช้กลุ่มประเทศเหล่านี้จัดการจีนและรัสเซีย (แบบเดียวกับที่ใช้อูเครนและจอร์เจียซึ่งมีพรมแดนติดกับรัสเซีย) ตอนที่โซเวียตล่มได้ไม่นาน คลินตันเป็นประธานาธิบดีแทนบุช คลินตันส่งวอร์เรน คริสโตเฟอร์ รัฐมนตรีต่างประเทศไปตระเวนประเทศต่างๆ ตอนนั้นความสัมพันธ์ของประเทศเหล่านี้กับสหรัฐฯทำท่าว่าจะดี แต่พอถึงยุคที่นายปูตินเป็นประธานาธิบดีรัสเซีย ปูตินดึงสาธารณรัฐอดีตโซเวียตเหล่านี้กลับมาเป็นพวกพ้องของรัสเซียได้อย่างแน่นแฟ้น และเตะสหรัฐฯพ้นยุโรปตะวันออกและเอเชียกลางออกไป

ขณะที่จีนกำลังเซ เราก็ได้เห็นสิ่งที่อยู่ใต้สมองของรัฐมนตรีร่วมคณะของทรัมป์ว่าคิดยังไงต่อเรื่องไวรัสโคโรนา 2019 ที่กำลังระบาดในจีน เมื่อ 30 มกราคม 2563 นายวิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯเผลอให้สัมภาษณ์ว่า “อ้า การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาเป็นเรื่องดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ” ไม่น่าเชื่อครับ ว่าแกจะกล้าพูดประโยคนี้ออกมา

...

เพราะกำลังจะสมัครประธานาธิบดีรอบที่ 2 ทรัมป์ต้องการแผลงฤทธิ์ด้วยการลงแส้รัสเซียและจีนอวดผู้ลงคะแนนอเมริกันตอนนี้รัสเซียกำลังมีปัญหานิดหน่อยกับสาธารณรัฐเบลารุสเรื่องความช่วยเหลือด้านพลังงานซึ่งกำลังเจรจากันอยู่ ทรัมป์ถือโอกาสนี้ส่งไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯไปพบลูคาเชนโก ประธานาธิบดีเบลารุสที่กรุงมินสก์เมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2563 ปอมเปโอบอกกับลูคาเชนโกว่า “ผมมาเพื่อแก้ไขความคลาดเคลื่อนของทัศนะที่สองประเทศมีต่อกัน อยากจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับเบลารุส และอยากช่วยเหลือเบลารุสด้านพลังงาน”

ส่วนที่คาซัคสถาน ปอมเปโอก็ไปที่กรุงนูร์-สุลต่านเมืองหลวงเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2563 ไปขอพบประธานาธิบดีโทคาเยฟและคณะผู้นำคนอื่นๆ ผู้อ่านท่านคงทราบนะครับ ว่าคาซัคสถานเป็นอดีตสาธารณรัฐหนึ่งของสหภาพโซเวียตที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม

คาซัคสถานมีพรมแดนติดกับจีนและมีชาวคาซัคอยู่ในแผ่นดินจีนที่เขตปกครองตนเองอุยกูร์ กลุ่มปกครองตนเองอีหลีคาซัค กลุ่มปกครองตนเองมู่เหล่ยคาซัค และที่อำเภอปกครองตนเองปาหลี่คุนคาซัคของซินเจียง ยังมีชาวคาซัคในอำเภอปกครองตนเองอาคซายคาซัค (มณฑลกานซู่) เขตปกครองตนเองห่ายซีมองโกลคาซัค (มณฑลชิงห่าย) ฯลฯ รวมแล้วมีชาวคาซัคอยู่ในจีนเกินล้านคน

สหรัฐฯศึกษาว่าจุดอ่อนของจีนกับคาซัคสถานและสรุปว่าเป็นเรื่องศาสนา ทรัมป์จึงส่งปอมเปโอไปโจมตีจีนให้พวกคาซัคฟังว่า “รัฐบาลจีนมีนโยบายกดขี่มุสลิมคาซัคที่อยู่ในแผ่นดินจีน กระผมมาขอให้ท่านช่วยกันเรียกร้องให้รัฐบาลจีนยุตินโยบายกดขี่ข่มเหงชาวมุสลิม”

หลังจากที่ปอมเปโอกลับไปแล้ว คณะผู้นำคาซัคอาจจะประชุมกันด้วยความงุนงงสงสัยว่าปอมเปโอมาพูดโจมตีจีนกับคาซัคสถานทำไม ทั้งที่รู้ว่าคาซัคสถานกับจีนเป็นมิตรกัน

ทรัมป์สร้างบ่างช่างยุที่ชื่อปอมเปโอ และส่งบ่างตระเวนไปในหลายภูมิภาคของโลก ไม่ว่าจะที่ยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง หรือเอเชียกลาง

ระวังบ่างกันหน่อยครับ.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย