นายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน และโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ

สหรัฐฯ และจีน ลงนามในข้อตกลงซึ่งมีเป้าหมายเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดในสงครามการค้าระหว่างทั้ง 2 ประเทศแล้ว

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สหรัฐฯ และจีน ลงนามในข้อตกลง ‘เฟสที่ 1’ เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดในสงครามการค้าระหว่างทั้ง 2 ประเทศแล้ว ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันพุธที่ 15 ม.ค. 2563 หลังจากปัญหาทางการค้าระหว่างชาติมหาอำนาจทั้ง 2 ส่งผลกระทบในทางลบต่อเศรษฐกิจโลกมานานนับปี

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กล่าวที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ว่า ข้อตกลงดังกล่าวจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสำหรับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ขณะที่ฝ่ายผู้นำจีนระบุว่า นี่เป็นข้อตกลงที่ทุกฝ่ายต่างได้ประโยชน์ และช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 ประเทศดีขึ้น

ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว จีนตกลงที่จะเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ให้มีมูลค่าสูงกว่าในปี 2560 อีก 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเพิ่มความเข้มงวดในกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา ขณะที่สหรัฐฯ แลกเปลี่ยนด้วยการตกลงที่จะ ลดอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีนลอตใหม่ลงครึ่งหนึ่ง แต่ภาษีนำเข้าส่วนใหญ่ยังอยู่

...

เรื่องดังกล่าวทำให้กลุ่มธุรกิจหลายกลุ่มออกมาเรียกร้องให้สหรัฐฯ กับจีนหารือกันต่อโดยเร็ว เช่น นายเจเรมี วอเตอร์แมน ประธานหอการค้าสหรัฐฯ สาขาประเทศจีน กล่าวว่า ยังมีงานอีกมากที่ต้องทำ พวกเขาควรพอใจกับผลที่ออกมาในวันนี้ แต่อย่ารอนานเกินไปที่จะกลับไปนั่งโต๊ะเจรจา เฟสที่ 2

ทั้งนี้ สหรัฐฯ กับจีน เริ่มทำสงคราการค้ากันมาตั้งแต่ปี 2561 โดยต่างฝ่ายต่างตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าของอีกฝ่าย ทำให้มูลค่าภาษีนำเข้าพุ่งสูงกว่า 4.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง และทำให้นักลงทุนเกิดความวิตกกังวล

การตั้งภาษีมีขึ้นหลังจาก โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวหาจีนว่า ทำธุรกิจอย่างไม่เป็นธรรม เช่นจ่ายเงินอุดหนุนแก่ธุรกิจภายในประเทศ และออกกฎข้อบังคับให้บริษัทอเมริกันดำเนินกิจการในจีนได้อย่างยากลำบาก ซึ่งข้อตกลงล่าสุดสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้บ้าง แต่ยังห่างไกลจากการแก้ปัญหาทั้งหมด