นั่งรถ+นั่งเรือทั้งหมด 16 ชั่วโมง ผมตามอาจารย์นิติภูมิธณัฐ มิ่งรุจิราลัยและครอบครัวคุณการ์แลนด์ เวลล์ส เดินทางจากเกาะนิวฟันด์แลนด์มายังดาร์ทเมาธ์ ตำบลชานเมืองแฮลิแฟกซ์ รัฐโนวาสโกเทียของแคนาดา ด้วยบรรยากาศสงคราม

เปล่า มิได้หมายความว่ามีการรบพุ่งกันระหว่างทาง ทว่าระหว่างทางมีแต่ข่าวสารและการสนทนาถึงการที่สหรัฐฯถล่มฐานที่มั่นในอิรักของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ การประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯในกรีนโซนของกรุงแบกแดด ระหว่างนั้น เพื่อนอิรักก็ WhatsApp ทั้งเรื่องทั้งคลิปจากเหตุการณ์จริงมาให้อาจารย์ดูอยู่ตลอด

ขณะขนของเข้าบ้านพักที่ดาร์ทเมาธ์ พวกที่เชิญอาจารย์ไปบรรยายที่วิทยาลัยรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัล มุสตานสิริยา กรุงแบกแดด เมื่อ พ.ศ.2559 โทรศัพท์มาเล่าว่า สหรัฐฯฆ่าพลตรีกัสเซ็ม โซไลมานี ผู้นำของกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่านแล้ว

จากนั้น ภาพจากบรรยากาศจริงจากทั้งจากอิรักและอิหร่าน โดยเฉพาะภาพแห่งบรรยากาศความรักอาลัยในพลตรีโซไลมานีก็ถูกส่งมามากมาย ทำให้เราได้เห็นความเศร้าอาลัยของคนอิหร่านและอิรักที่นับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ที่มีต่อพลตรีโซไลมานี

ความที่เคยรับราชการทหารเรือมาก่อน การมาพักที่ดาร์ทเมาธ์จึงเป็นโอกาสที่เพื่อนฝูงที่ยังรับราชการในกองทัพเรือแคนาดามาเยือนคุณเวลล์ส จากการเผือกนั่งฟังผู้คนคุยกัน ผมสรุปบรรยากาศสงครามจากทางฝั่งอเมริกาเหนือเอาเองว่า ขณะนี้มีคำสั่งให้เตรียมพร้อมทั้งเรือดำน้ำและเรือทุกประเภทของแคนาดา บางท่านเดาถึงขนาดว่า น่าจะมีสงครามระหว่างสหรัฐฯ+พันธมิตร v.s. อิหร่าน+พันธมิตร โดยรัสเซีย จีน และอิรัก หนุนอิหร่าน

พอมีคำว่ารัสเซียและจีนเข้ามาถึงสมอง ผมก็คิดว่าสหรัฐฯและพวกแย่แน่แล้ว แต่เมื่อได้รับทราบสมรรถนะของอาวุธยุทโธปกรณ์ของฝั่งสหรัฐฯจากคนที่ทำงานจริง ผมก็เอาข้อมูลจากทั้งสองฝั่งมาชั่งดูแล้ว ก็คิดว่าฝั่งอิหร่าน รัสเซีย และจีน ยังเสียเปรียบอยู่อีกมาก เมื่อรู้ว่าตนยังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ พวกที่ด้อยกว่าก็คงไม่กล้ากระโจนออกไปเย้วๆ กลางสนามเพื่อทำ ‘สงครามในแบบ’ เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของตนดอกครับ

...

เมื่อการดื่มเหล้ายาสนทนากันอย่างสนุกสนานผ่านไปแล้ว แขกฝรั่งทั้งหลายก็กลับบ้าน สมาชิกครอบครัวคุณเวลล์สก็ยกมือบ๊ายบายนิทราราตรีสวัสดิ์และเข้าห้องนอนกันแล้วทุกคน อา ณ เวลานี้ มีผมกับอาจารย์เพียงสองคน ผมถามอาจารย์เบาๆ ว่า อ้า สถานการณ์จะบานปลายยังไงเมื่อใดเท่าไหนปริมาณมากไหมต่อไป ได้รับคำตอบว่า ก่อนจะอ้าปากวิเคราะห์ จะต้องย้อนกลับไปเอาสถานการณ์ พ.ศ.2534 และ พ.ศ.2544 มาประกอบ

สงครามอ่าวครั้งที่ 1 (2 สิงหาคม 2533-28 กุมภาพันธ์ 2534) ทำให้โลกทั้งใบอ้าปากค้างเมื่อได้เห็นเทคโนโลยีทางการทหารของสหรัฐฯที่ใช้ในสงครามอ่าว อย่างขีปนาวุธนำวิถีเอจีเอ็ม 130 ระบบแว็กส์ที่ใช้แจ้งเตือนและควบคุมทางอากาศ ระบบการสื่อสารผ่านดาวเทียมที่ทำให้การปฏิบัติการของเครื่องบินกรัมแมน อี-2 ฮอว์กอายและโบอิ้ง อี-3 เซนทรีและอาวุธอีกมากมายหลายอย่างทำงานได้ตามความปรารถนาของสหรัฐฯทุกประการ

อากาศยานการสงครามอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีทางการทหารอีกมากมายหลายอย่างในสมัยนั้นทำให้โลกตะลึงพรึงเพริด ผู้นำสหภาพโซเวียตอย่างนายกอร์บาชอฟถึงขนาดเอามือมาคลำหัวล้านด้วยอาการ ‘ปวดหมอง’ อยู่หลายเดือน จนต้องยอมสลายสหภาพโซเวียตเมื่อ 24 ธันวาคม 2534 เพราะรู้ว่าสหภาพโซเวียตไม่มีทางสู้สหรัฐฯได้

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พวกประเทศเล็กชาติน้อย พวกกองกำลังกระจิริดกระจ้อยร่อยก็ไร้ที่พึ่งพา โลกอิสลามที่เป็นปฏิปักษ์กับสหรัฐฯเริ่มโดนสหรัฐฯและตะวันตกกระทำย่ำยีอย่างไม่มีทางสู้เพราะอาวุธยุทโธปกรณ์และทุนต่างๆ ห่างกันราวฟ้ากับเหว

จึงหันเข้าหา ‘การก่อการร้าย’

ยังไม่ทันเขียนถึง พ.ศ.2544 ก็หมดหน้ากระดาษซะก่อน ต้องมารับใช้กันต่อในวันพรุ่งนี้ คืนนี้ ขอกล่าวคำว่านิทราราตรีสวัสดิ์ครับ ลาไปก่อนครับ.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย