ได้ยินผู้ใหญ่คุยกันถึงอันตรายของการขาดประสิทธิภาพในการแข่งขันของบริษัทรัฐวิสาหกิจ ซึ่งนโยบายของรัฐบาลจีนต้องการใช้รัฐวิสาหกิจไปเปิดประตูด้านการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน รัฐวิสาหกิจจำนวนมากใช้ต้นทุนทางการเงินที่ต่ำจากนโยบายผ่อนคลายทางการเงินของรัฐบาลกลางมาทำงาน และวันนี้ก็เริ่มมีปัญหาการผิดนัดชำระหนี้จากหุ้นกู้สกุลเงินต่างประเทศกันบ้างแล้วครับ

มกราคม-มิถุนายน 2562 เพียงแค่ครึ่งปีแรก บริษัทรัฐวิสาหกิจจีนผิดนัดชำระหุ้นกู้ถึง 8.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (2.58 แสนล้านบาท) บริษัทรัฐวิสาหกิจของจีนมีทั้งหมด 1.74 แสนแห่ง มีสัดส่วนหนี้สินร้อยละ 124 ต่อจีดีพี ผู้อ่านท่านลองนึกดูเถิด ถ้าเกิดบริษัทรัฐวิสาหกิจเหล่านี้เดินเซเรรวน รัฐบาลจีนจะแก้ไขได้ยากมาก เพราะปัจจุบันทุกวันนี้สาธารณรัฐประชาชนจีนมีสัดส่วนหนี้ทั้งหมดร้อยละ 303 ต่อจีดีพี ถ้าคิดเป็นเม็ดเงินก็ 30 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (900 ล้านล้านบาท) หนี้จำนวนมากมายมหาศาลรวมแล้วเท่ากับร้อยละ 15 ของหนี้ทั้งโลก

ทรัมป์และทีมงานคงมีตัวเลขเศรษฐกิจจีนอยู่ในมือ จึงกล้าหือสร้างสงครามการค้ากะจีน โดยมุ่งหวังตั้งใจว่าสงครามนี้จะทำให้เศรษฐกิจจีนชะงัก เมื่อเศรษฐกิจชะงักแล้ว บริษัทรัฐวิสาหกิจซึ่งส่วนใหญ่ลงทุนทางโครงสร้างพื้นฐาน โลจิสติกส์ และภาคการผลิตอื่น ก็จะโดนกระทบจนหาเงินมาชำระหนี้ไม่ได้

ตอนนี้มีหลายบริษัทกล้าประกาศว่าตัวเองต้องผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้สกุลเงินต่างประเทศ อย่างบริษัทรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลมณฑลเทียนจินที่ยอมรับว่าเดือนธันวาคม 2562 บริษัทจะไม่สามารถชำระหนี้ที่เกิดจากหุ้นกู้สกุลเงินต่างประเทศจำนวน 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เท่าที่ผมติดตามการทำงานของรัฐบาลท้องถิ่นจีน พบว่าผู้บริหารจำนวนไม่น้อยมีพฤติกรรมเสี่ยง บางแห่งลงทุนสร้างโรงงานใหญ่โตมูลค่าเป็นพันล้านเพื่อให้เอกชนเพียงรายเดียวมาเช่าทำการผลิต พอมีสงครามการค้า ผลผลิตก็เหลือจนต้องเอามาเก็บกองพะเนินเทินทึก

...

ผู้บริหารบางบริษัทรัฐวิสาหกิจเชื่อว่าถ้าตนพลาดไปด้วยประการใดก็ตาม ทั้งรัฐบาลท้องถิ่นและรัฐบาลกลางจะช่วย แต่ผู้อ่านท่านลองนึกดูนะครับ จีนมีบริษัทรัฐวิสาหกิจ 1.74 แสนแห่ง ถ้ามีปัญหาสักร้อยละ 10 นั่นหมายถึง 1.74 หมื่นแห่งที่มีปัญหา และที่จะล้มครืนลงมาก็คือธนาคารและสถาบันการเงินท้องถิ่นที่ปล่อยกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจเหล่านี้

ธนาคารและสถาบันการเงินท้องถิ่นของจีนมีประมาณ 4.4 พันแห่ง ตอนนี้เจอปัญหาเบี้ยวหนี้จนมีแนวโน้มว่าจะต้องล้มละลายมากถึง 586 แห่ง รัฐบาลช่วยทั้งรัฐวิสาหกิจ ทั้งธนาคารและสถาบันการเงินไม่ไหว จึงต้องเลือกกระโจนไปช่วยสถาบันการเงินก่อน เพื่อไม่ให้ล้มแบบโดมิโนระเนระนาดไปทั้งประเทศ

ตอนนี้ คณะกรรมการกำกับดูแลภาคธนาคารและประกันภัยแห่งชาติเริ่มเข้าไปเทกโอเวอร์ธนาคารเปาซาง ธนาคารจิงโจว ธนาคารเฮิงเฟิง ฯลฯ รัฐบาลจีนพยายามปกปิดความน่าตระหนกตกใจนี้ ไม่ให้ประชาชนทราบ แต่ไม่รอด เพราะบางธนาคารดันไปติดป้ายเพื่อจะบอกว่า อ้า ธนาคารนี้ไม่มีปัญหาสภาพคล่อง

การติดป้ายอย่างนี้ เสมือนคนเอาทรัพย์สินไปฝังไว้ในดินแล้วปักป้ายไว้ว่า ‘ข้าพเจ้าไม่ได้ฝังทรัพย์สินไว้ใต้ดินที่แห่งนี้’ เมื่อเดือนที่ผ่านมา คนแห่กันไปถอนเงินฝากจากยิงโขว ซึ่งเป็นธนาคารท้องถิ่นของมณฑลเหลียวหนิง จนธนาคารยิงโขวต้องติดป้ายว่าไม่มีปัญหาสภาพคล่องอย่างที่ว่า ทว่าเชื่อผมเถิดครับ สถานการณ์ธนาคารไม่มีสภาพคล่องอาจจะลามปามไปในหลายพื้นที่

เมื่อการค้าระหว่างประเทศมีปัญหา รัฐบาลก็พยายามกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน ตอนนี้มีการลดภาษีผู้บริโภค กระทรวงการคลังก็ออกคำสั่งไปยังรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อให้ออกพันธบัตรระดมทุนสำหรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ความมุ่งหวังตั้งใจก็คือ จะกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน

คิดกันเองเล่นๆ นะครับ เมื่อประชาชนเห็นว่าปัญหาเศรษฐกิจเริ่มแย่ลง บริษัทรัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงินท้องถิ่นกำลังโอนเอนโงนเงน ใครจะกล้าซื้อพันธบัตรล่ะครับ

วันนี้ขออนุญาตเขียนรับใช้ผู้อ่านท่านที่เคารพในอีกมุมหนึ่ง ซึ่งเป็นมุมที่น่าตระหนกตกใจของจีนครับ.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com