ผบ.กองกำลังชาวเคิร์ดในซีเรีย เผย กองทัพสหรัฐฯสามารถปลิดชีวิต ‘มือขวา’อัล-แบกแดดดี เพียงไม่กี่ชั่วโมง หลังอัล-แบกแดดดี ผู้นำไอเอสสิ้นชีพ และปธน.ทรัมป์ออกมาแถลงยืนยันอย่างเป็นทางการ

เมื่อ 29 ต.ค.62 หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกแถลงครั้งสำคัญ ยืนยันว่านายอาบู บักร์ อัล-แบกแดดี ผู้นำกองกำลังรัฐอิสลาม หรือไอเอส ได้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการ ในปฏิบัติการบุกสังหารของกองทัพสหรัฐฯทางภาคเหนือของซีเรีย พร้อมปรามาสว่าแบกแดดีตายเยี่ยงสุนัขตัวหนึ่งนั้น

นายมาสลูม อับดี ผู้บัญชาการกองกำลังชาวเคิร์ด หรือเอสดีเอฟในซีเรีย ได้เปิดเผยเมื่อ 28 ต.ค.ว่า ไม่กี่ชั่วโมงหลังการเสียชีวิตของผู้นำกลุ่มไอเอส กองทัพสหรัฐฯยังประสบความสำเร็จในการสังหารนายอาบู ฮัสซาน อัล-มูฮาจีร์ มือขวาของนายแบกแดดี และโฆษกของกลุ่มไอเอสเช่นกัน ในพื้นที่เมืองอิน อัล-เบย์ดาห์ ทางภาคเหนือของซีเรียติดพรมแดนตุรกี

อย่างไรก็ตาม นายอับดียังระบุเพิ่มเติมว่า นักรบไอเอสบางส่วนยังคงกบดานตามพื้นที่ต่างๆ และมีความเป็นไปได้ว่าการเสียชีวิตของนายแบกแดดี จะส่งผลให้เกิดการโจมตีล้างแค้น ซึ่งรวมถึงการโจมตีเรือนจำเพื่อปลดปล่อยสมาชิกกลุ่มไอเอสที่ถูกคุมขัง ในภาคตะวันออกของซีเรีย

ด้านผู้สื่อข่าวเอเอฟพีในพื้นที่ระบุว่า ถึงกลุ่มไอเอสพ่ายแพ้การสู้รบในซีเรียตะวันออก แต่บรรดาสมาชิกไอเอสยังปฏิบัติการโจมตีในรูปแบบกองโจรเป็นระยะๆ ซึ่งนายอาลี ราเบอี โฆษกรัฐบาลอิหร่าน พันธมิตรของรัฐบาลซีเรีย เตือนว่าการสังหารนายแบกแดดีมิได้หมายความว่ากลุ่มไอเอสจะจบสิ้น เพราะอุดมการณ์ยังคงอยู่

ต่อมาประธานาธิบดีทรัมป์ยังออกแถลงโจมตีว่า รู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งต่อหลายประเทศในยุโรป เพราะไม่เห็นถึงความพยายามที่จะรับนักรบไอเอสที่มาจากประเทศของตนเองกลับไป พร้อมขู่ว่าหากรู้ว่านักรบไอเอสรายไหนมาจากประเทศอะไรก็จะเอาไปปล่อยตัวที่พรมแดนของประเทศนั้น

...

ทั้งนี้ ปฏิบัติการสังหารผู้นำกลุ่มไอเอสมีขึ้นที่หมู่บ้านบาริชา ในจังหวัดอิดลิบ ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรีย กองทัพสหรัฐฯใช้เฮลิคอปเตอร์ 8 ลำจู่โจมตอนกลางดึกวันที่ 26 ต.ค. จนเกิดการยิงปะทะอย่างหนักหน่วง ก่อนที่ชุดคอมมานโดบุกทะลวงเข้าไปในแหล่งกบดานด้วยการระเบิดกำแพงบ้าน และไล่ล่านายแบกแดดีที่หลบหนีลงอุโมงค์ใต้ดิน จนสุดท้ายนายแบกแดดีตัดสินใจจุดชนวนเสื้อกั๊กระเบิดฆ่าตัวตายพร้อมกับลูกอีก 3 คนหลังจนมุม

แรงระเบิดส่งผลให้อุโมงค์พังถล่มและสุนัขทหารบาดเจ็บสาหัส แต่ทหารสหรัฐฯสามารถเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอยืนยันตัวตนว่าเป็นนายแบกแดดี นอกจากนี้ ปฏิบัติการยังส่งผลให้สาวกของนายแบกแดดีเสียชีวิตจำนวนมาก รวมถึงภรรยา 2 คนของนายแบกแดดี ที่สวมเสื้อกั๊กระเบิดเช่นกัน แต่ไม่มีโอกาสได้จุดชนวน.