ผลสำรวจของ Pew Research Center หรือสำนักวิจัยพิว พบว่า ร้อยละ 60 ของคนอเมริกันที่ตอบแบบสอบถามยอมรับว่าตนเองมีทัศนคติแง่ลบต่อจีน คนอเมริกันที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มองว่าจีนเป็นภัยคุกคามทางทหารมากกว่าเป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจ แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะพุ่งกระฉูดส่งตูดจัมโบ้ ทว่าจากผลสำรวจ คนอเมริกันมองว่าสหรัฐฯยังเป็นชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเบอร์ 1 ของโลก คนอเมริกันที่ตอบแบบสอบถามร้อยละ 81 มองว่าการขยายอิทธิพลทางทหารของจีนเข้าไปในภูมิภาคแปซิฟิก มหาสมุทรอินเดีย และตะวันออกกลางเป็นสิ่งเลวร้าย
การสำรวจครั้งนี้ ทำให้เราเห็นทัศนคติของคนอเมริกันที่เปลี่ยนไปอย่างมาก ผิดกับในยุคโอบามาที่คนอเมริกันมองจีนในแง่บวกมากกว่าลบ พอในยุคที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี คนอเมริกันมองจีนเป็นศัตรูมากกว่ายุคใดๆในประวัติศาสตร์
ผมติดตามความสัมพันธ์ของจีนกับสหรัฐฯและความเคลื่อนไหวของการประท้วงในฮ่องกง ขอเรียนว่ามีการปฏิบัติการจิตวิทยาเลียนแบบสงครามเย็นที่เกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ.1945-1991 จุดเริ่มของสงครามเย็นมาจากการที่สหรัฐฯต้องการกำจัดการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ ปฏิบัติการจิตวิทยาของสหรัฐฯในตอนนั้นคือ วาดภาพสหภาพโซเวียตให้เป็นยักษ์ร้าย เป็นพวกสะสมอาวุธและกำลังรบที่จะมาทำให้โลกล่มสลาย การปฏิบัติการจิตวิทยาเกิดขึ้นซ้ำซากและบ่อยมากจนคนอเมริกันและคนในประเทศต่างๆมองสหภาพโซเวียตเป็นยักษ์ร้ายแบบเดียวกับที่รัฐบาลอเมริกันมอง
สงครามเย็นเป็นการแข่งขันด้านผลประโยชน์ อำนาจ และความมั่นคง ซึ่งสหรัฐฯสร้างเป็นนโยบายปกป้องความมั่นคงและผลประโยชน์ของตัวในยุโรป ละตินอเมริกา และเอเชีย เมื่อรู้แท้แน่ชัดว่าสหรัฐฯเล่นงานตัวเอง โซเวียตจึงต้องลุกขึ้นมาปกป้องตัวเองโดยการเข้าไปครอบงำกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกเพื่อให้เป็นดินแดนกันชนการรุกรานของสหรัฐฯและตะวันตก ตั้งแต่ ค.ศ.1945 เป็นต้นมา โลกจึงถูกแบ่งออกเป็น 2 ขั้วอำนาจ โดยสหรัฐฯและสหภาพโซเวียตเป็นผู้นำของแต่ละขั้ว
...
ความสัมพันธ์ของสหรัฐฯกับจีนเป็นไปได้ดีในยุคของโอบามา หรือเกือบทุกรัฐบาลที่นำโดยพรรคเด็มโมแครต แต่พอถึงยุคพรรครีพับลิกันโดยเฉพาะในยุคของทรัมป์ ความสัมพันธ์ก็ขาดสะบั้นและการต่อสู้ก็เริ่มขึ้นเช่นเดียวกับในยุคสงครามเย็น
สงครามเย็นที่สหรัฐฯสร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ.1945 ยาวนาน 46 ปี และสิ้นสุดเมื่อโซเวียตล่มสลายใน ค.ศ.1991 ส่วนสงครามเย็นด้านการค้า เศรษฐกิจ และการเงิน ที่เกิดขึ้นรอบนี้ เริ่มอย่างแท้จริงใน ค.ศ. 2019 และไม่มีใครทำนายทายทักได้ว่า จะสิ้นสุดลงเมื่อใด
การต่อสู้ในสงครามเย็นครั้งก่อนเป็นรูปเป็นร่างให้เราเห็นได้แจ่มชัดถนัดแจ้งใน ค.ศ.1947 เมื่อประธานาธิบดีทรูแมนออกคำประกาศทรูแมนเมื่อ 12 มีนาคม 1947 เพื่อช่วยเหลือประเทศที่ถูกลัทธิคอมมิวนิสต์คุกคามและเพื่อดำรงไว้ซึ่งอุดมการณ์ประชาธิปไตย โซเวียตงงอยู่ 5-6 เดือน ไม่รู้ว่าจะแก้เกมยังไง บั้นปลายท้ายที่สุด ก็แก้ด้วยการประกาศจัดตั้งสำนักข่าวสารคอมมิวนิสต์ที่เรียกว่า Cominform เพื่อเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ให้กว้างขวางมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ทรูแมนไม่เฟอะฟะเบอะบะเหมือนทรัมป์ ทรูแมนโยนให้สหภาพโซเวียตเป็นยักษ์มารได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน เริ่มด้วยการประกาศใช้แผนมาร์แชลจัดตั้งองค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจของยุโรป หรือ OEEC ผู้นำโซเวียตยุคนั้นก็สุขุมนุ่มลึก โต้ตอบแผนมาร์แชลด้วยการจัดตั้ง Comecon หรือองค์การให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจของกลุ่มโลกคอมมิวนิสต์
ทรูแมนร่วมมือกับโลกเสรีตั้งองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO เพื่อเป็นองค์การความร่วมมือทางทหารใช้ป้องกันการรุกรานของโซเวียต โซเวียตก็ตั้งองค์การสนธิสัญญาวอร์ซอเป็นองค์การทางทหารเหมือนกัน ประเทศในยุโรปตอนนั้นแบ่งเป็น 2 ค่าย แม้ว่าความขัดแย้งของสงครามเย็นไม่เกิดสงครามขนาดใหญ่ แต่ก็นำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมืองที่ล่อแหลม เกิดสงครามขนาดรองขึ้นหลายครั้ง เช่น สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม วิกฤตการณ์คิวบา ฯลฯ
ทรัมป์ไม่สุขุมนุ่มลึกเหมือนทรูแมน
ในขณะที่สีจิ้นผิงและฝ่ายจีนลึกยิ่งกว่าโซเวียต
ทุกคนต่างกระหายใคร่รู้ผลของสงครามครั้งนี้.
นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com