คนป่วนโลก...

เผอิญที่ว่าไม่ใช่ชนอเมริกันก็ได้แต่วิพากษ์วิจารณ์กันไปตามประสา แต่น่าเห็นใจพวกเขาอยู่ไม่น้อยที่มีผู้นำประเทศอย่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่ป่วนโลกได้ทุกวี่ทุกวัน

เดี๋ยวเรื่องนั้น เดี๋ยวอย่างนี้ยุ่งไปทั้งโลก

แม้แต่ในประเทศสหรัฐฯเขาเองล่าสุดก็ถูกสภาผู้แทนฯ ลงมติประณามด้วยคะแนนเสียง 240 ต่อ 187 เสียง

เหตุก็เพราะไปทวีตข้อความเหยียดหยามกลุ่ม ส.ส.หญิง 4 คน มีทั้งผิวสีและมีเชื้อสายจากประเทศต่างๆ แต่เกิดในสหรัฐฯและอีกคนอพยพเข้ามาอยู่ในอเมริกา

“กลับไปยังประเทศบ้านเกิดตัวเองที่แตกสลายและเต็มไปด้วยอาชญากรรม ดีกว่าจะมาสั่งสอนรัฐบาลของสหรัฐฯ”

เนื่องจากไม่พอใจที่ 4 ส.ส.หญิงซึ่งมีหัวก้าวหน้าวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดและการทำงานของ “ทรัมป์” มาตลอด

“สภาขอประณามอย่างรุนแรงต่อคำพูดเหยียดเชื้อชาติของประธานาธิบดี ซึ่งเป็นการรับรองและกระตุ้นความรู้สึกหวาดกลัวและชิงชังชาวอเมริกันผู้มาใหม่และคนผิวสี”

นี่เป็นมติประณามผู้นำคนดังคับโลก

เป็นเพียงตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่แม้ว่าตัวเขาจะปฏิเสธด้วยการบอกว่า “ผมไม่ได้มีกระดูกแบบนักเหยียดเชื้อชาติแม้สักชิ้นเดียวในร่างกายของผม”

ย้ำด้วยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเกมหลอกลวงของฝ่ายค้านพรรคเดโมแครตที่รีพับลิกันจะต้องไม่แสดงความอ่อนแอและตกเข้าสู่กับดักของพวกเขา

พูดง่ายๆก็คือเป็นเกมการเมืองเท่านั้น

เรื่องนี้เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้นำสหรัฐฯ ที่อ้างว่าเป็นการวิจารณ์เรื่องความรักชาติของ ส.ส.หญิงกลุ่มนี้ แต่ไม่ใช่การเหยียดผิวแต่อย่างใด

ก็อ้างกันไปข้างๆคูๆแถไปอีกทางหนึ่ง

...

ว่าไปแล้ว “ทรัมป์” เคยมีประวัติเหยียดเชื้อชาติมาหลายครั้งแล้ว โดยเฉพาะตอนที่ออกมากล่าวหาอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ “บารัค โอบามา” อดีตผู้นำผิวสีคนแรกของสหรัฐฯ

ว่า...“ไม่ได้เกิดในอเมริกา”

หรือเมื่อครั้งที่เกิดเหตุประท้วงที่เมืองชาร์ลอตส์วิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย เมื่อปี 2017 ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

เขาเลี่ยงที่จะประณามพวก “เชิดชูคนผิวขาวเป็นใหญ่” อันเป็นต้นเหตุ แต่กลับกล่าวว่า “ทั้งสองฝ่ายล้วนแต่มีคนดีอยู่ด้วย”

เท่ากับว่าเป็นการเข้าข้าง “คนผิวขาว” อย่างชัดเจน

เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่เขาสร้างปัญหาขึ้นมาเองทั้งสิ้น แม้แต่คนในประเทศเขาเอง นับประสาอะไรกับประเทศอื่นๆที่อยู่ตรงข้ามกับเขา เลยกลายเป็นว่า “เขาคือความถูกต้อง คนอื่นประเทศอื่นผิดหมด”

อย่างการเปิดสงครามการค้ากับจีนที่ยังเป็นเรื่องที่จบลงได้ยาก ล่าสุดเล่นเอาจีน ซึ่งมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐฯเกิดปัญหาขึ้นมาทันที

เมื่อสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน ได้รายงานอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจว่า เศรษฐกิจจีนในช่วงไตรมาสที่ 2 ตั้งแต่ เม.ย.-มิ.ย.ปี 62 เติบโตแค่ 62% จากปีก่อนในไตรมาสเดียวกัน

เติบโตช้าลงจาก 6.4% ในช่วงไตรมาสแรก ม.ค.-มี.ค.ปี 2562

แน่นอนว่าอัตราการเติบโตที่ช้าลงสร้างความกังวลต่อผลกระทบทางอ้อมต่อเศรษฐกิจโลกอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้

ทั่วโลก...คงภาวนาว่าอย่าให้ “เขา” กลับมาเป็นผู้นำ รอบที่ 2 แน่.

“สายล่อฟ้า”