เลือดวาฬทำทะเลริมชายฝั่งหมู่เกาะแฟโร แดงฉาน ชาวประมงที่หมู่เกาะแฟโร ในมหาสมุทรแอตแลนติก ฆ่าวาฬ-โลมาด้วยคมหอก หลังจับได้และลากเข้าฝั่ง สังหารเหี้ยม

เมื่อ 30 พ.ค.62 สื่อต่างประเทศรายงานและเผยแพร่ภาพสลด ทะเลสีแดงฉาน จากเลือดวาฬนำร่องและโลมาที่ถูกฆ่าโดยชาวประมง ที่บริเวณชายหาดเมือง Torshavn เมืองเอกของหมู่เกาะแฟโร ในทวีปยุโรป ทางตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติก เมื่อวันที่ 29 พ.ค. หลังจากจับพวกมันได้และลากเข้าฝั่ง ก่อนใช้หอกแทงจนตาย

มิร์เรอร์และเดลี่เมล แจ้งว่า การสังหารวาฬเหล่านี้ ของชาวประมงบนเกาะแฟโร เพื่อนำเนื้อวาฬมาทำเป็นอาหาร ถือเป็นส่วนหนึ่งในประเพณีเก่าแก่ของชาวเกาะแฟโรที่สืบทอดมานานนับศตวรรษ โดยมีชาวบ้านมาดูการล่าวาฬของชาวประมง และนำร่างของพวกมันกลับมายังฝั่งและฆ่า จนเลือดของวาฬทำให้น้ำทะเลบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน

...

สาเหตุที่ทำให้ชาวประมงบนเกาะแฟโร สามารถล่าวาฬได้จำนวนมาก เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่วาฬว่ายผ่านชายฝั่งของหมู่เกาะแฟโร อพยพย้ายถิ่นฐานในช่วงฤดูร้อน โดยคาดว่าแต่ละปี มีวาฬนับ 100,000 ตัวว่ายผ่านเข้าใกล้ชายฝั่งหมู่เกาะแฟโร  ซึ่งประกอบด้วยเกาะเล็กๆ 18 เกาะ อยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกระหว่างสกอตแลนด์ นอร์เวย์ และไอซ์แลนด์ และเป็นเขตการปกครองของประเทศเดนมาร์กมาตั้งแต่ปี 2491 ในขณะที่ ชาวประมงบนหมู่เกาะแฟโร ซึ่งต้องมีใบอนุญาตล่าวาฬ จะล่าวาฬเฉลี่ยแล้วปีละประมาณ 800 ตัว

ด้านสมาคมบลูแพลนเน็ต ซึ่งเป็นกลุ่มรณรงค์รักษาธรรมชาติสิ่งแวดล้อมคุ้มครองสัตว์ในทะเล ได้ออกมาประณามการล่าวาฬของชาวประมงที่หมู่เกาะแฟโร ว่าเป็นการสังหารที่โหดร้ายและทารุณต่อสัตว์มาก เพราะมีวาฬถึงประมาณ 130-150 ตัว รวมทั้งโลมาอีกนับ 10-20 ตัวด้วยคมหอกอย่างโหดเหี้ยม ขณะที่ปี 2019 นี้มีวาฬถูกฆ่าไปแล้วราว 500 ตัว โดยสมาคมบลูแพลนเน็ต ยังระบุด้วยว่า หมู่เกาะแฟโร อยู่ใต้การปกครองของเดนมาร์ก ซึ่งเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ในขณะที่สหภาพยุโรปออกกฎคุ้มครองทั้งวาฬนำร่องและโลมาพันธุ์ข้างขาว แต่เดนมาร์กยังออกใบอนุญาตให้ชาวประมงสามารถล่าและฆ่าวาฬนำร่องและโลมาพันธุ์ข้างขาวได้