ระยะนี้ ผมได้รับการติดต่อขอทัศนะทางการเมืองจากสื่อมวลชนต่างประเทศมากกว่ายุคสมัยใดๆ หน้าที่ของผมในฐานะคนไทยก็คือ ประคองศักดิ์ศรีและชื่อเสียงของประเทศเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ประคองไว้ท่ามกลางการที่สื่อมวลชน รัฐบาล และองค์การระหว่างประเทศในระดับโลกและระดับภูมิภาคสามารถหาข่าวได้ด้วยตัวเองจากสื่อโซเชียลมีเดีย และด้วยเทคโนโลยีการแปลภาษาที่สุดล้ำก็ทำให้ท่านเหล่านั้นเข้าใจความรู้สึกนึกคิดคนไทยได้ แม้ข้อความจะถูกเขียนเป็นภาษาไทยก็ตาม

คนออกแบบความเป็นไปของประเทศยังคิดแบบอนาล็อกที่เอาตัวอย่างจากการปฏิบัติในอดีตของเพื่อนบ้านฝั่งตะวันตกของเรา โดยลืมไปว่าโลกเปลี่ยนเข้ายุคดิจิทัลแล้ว สมัยก่อนตอนโน้น เมื่อ พ.ศ.2506 การติดต่อสื่อสารยังไม่แพร่หลาย การออกแบบนโยบายความสัมพันธ์ที่จะใช้กับประเทศหนึ่งประเทศใดต้องใช้นักการทูตและสายลับทำงานร่วมกัน กว่าสหรัฐฯจะได้เจตนารมณ์ของคณะผู้ร่างเอกสาร The System of Correlation of Man and His Environment (ระบบแห่งสหสัมพันธ์ของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม) ที่พวกทหารพม่าผลิตหลังจากทำรัฐประหาร เป็นเรื่องที่สถานทูตสหรัฐฯ และยุโรปต้องทำงานกันหนักมาก

ตอนที่นายพลเนวินต้องการให้ประชาชนจงรักภักดีต่อรัฐบาลทหารและร่วมมือกับรัฐบาลในการสร้างพม่าให้เป็นรัฐอย่างที่ทหารต้องการนั้น ทหารไปเชิญพรรคการเมืองที่มีอยู่เดิมให้ยุบรวมตัวกันเป็นพรรคเดียวในชื่อ National Party หรือพรรคแห่งชาติ ที่มีคณะทหารเป็นผู้นำ

แต่รัฐบาลของตะวันตกบางประเทศส่งคนไปแนะนำผู้บริหารพรรคปยิดาวสุ พรรคสันนิบาตเสรีภาพประชาชน และพรรคแนวร่วมสามัคคีแห่งชาติ ว่าไม่ควรร่วมกับทหารเพื่อตั้งพรรคแห่งชาติ ทหารพม่าจึงตั้งพรรคของตัวเองที่มีชื่อว่าพรรคโครงสร้างสังคมนิยมพม่า ที่ภาษาพม่าเรียกว่าแลนซิน และออกกฎหมายยกเลิกพรรคการเมืองในพม่าทั้งหมด ยกเว้นพรรคแลนซินของตนเอง

...

รัฐบาลและองค์การระหว่างประเทศใช้ข้อมูลที่ได้จากสถานทูตและจากการส่งคนเข้าไปสืบสวนหาข่าวมาเล่นงานจนรัฐบาลพม่าต้องปิดประเทศ ส่งผลให้ประชาชนพม่ายากจนข้นแค้นจนถึงปัจจุบัน ทว่าสมัยนี้ ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารยุคใหม่ ไม่ต้องส่งคนไปสืบอย่างนั้นแล้วครับ ตัดสินใจด้วยข้อมูลจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือได้เลย

หลายคนกลัวว่า อนาคตอันใกล้ เราอาจจะโดนนานาประเทศตะวันตกเล่นงานอย่างหนัก หนักกว่าที่เคยโดนในช่วง พ.ศ.2557-2560 ตอนนั้นเราโดนตะวันตกรุมจนเราต้องเอียงเข้าหาจีน และสูญเสียอำนาจในการต่อรอง เพราะจีนมองว่าไทยไปไหนไม่รอด ต้องพึ่งจีนชาติเดียว

มีคนบอกว่า ขณะนี้มีความสนใจการเมืองไทยเป็นพิเศษของกลุ่มที่ปรึกษาด้านกิจการการต่างประเทศซึ่งเป็นกลุ่มที่ปรึกษาขนาดเล็กที่คณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งขึ้นเพื่อรองรับงานด้านการกำหนดนโยบายและการนำนโยบายไปปฏิบัติ ผมไม่อยากให้จีนลงมายุ่งกับการเมืองไทยเพื่อโครงการที่จีนจะทำกับไทยในอนาคต เช่น โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงสายอีสานและโครงการอื่นๆ เพราะจะทำให้เราเสียเปรียบมาก

ถ้าไทยถูกตะวันตกกดดันด้วยปัญหาประชาธิปไตยหรือสิทธิมนุษยชน พวกเราไม่อยากให้ไทยต้องซมซานไปหาจีน เราต้องคบกับจีนในสถานะประเทศที่เท่าเทียมกันเท่านั้น ผมอยากให้ดูเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกับเราทางภาคตะวันออกที่ทะเลาะกับหลายประเทศจนต้องหลบไปคบซบจีน และปัจจุบันโดนจีนชี้นำนโยบายการทหาร การต่างประเทศ และการเศรษฐกิจ

ที่น่าจับตามองอย่างยิ่งคือ การกระดิกพลิกตัวขององค์กรและประเทศเหล่านี้ในอนาคต องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ องค์การทรัพย์สินทางปัญญาแห่งโลก คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ องค์กรนิรโทษกรรมสากล และองค์กรระหว่างประเทศเพื่อความร่วมมือในระดับโลกทางเศรษฐกิจ การเงิน และการค้าต่างๆ

อยากให้จับตาดูนโยบายใหม่ที่มีต่อไทยของสหรัฐฯ สหภาพยุโรป เยอรมนี สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ แคนาดา และเบลเยียม

ส่วนจีนและรัสเซียนั้น ก็เป็นไปได้ว่า อาจจะมีนโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบพิเศษกับราชอาณาจักรไทยในไวๆนี้ด้วยเช่นกัน.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com