ลุ้นเลือกตั้ง ไทย–สหรัฐฯ
นักเศรษฐศาสตร์ประจำธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) “ทืม ลีหะพันธ์” เชื่อว่าประเทศไทยจะได้รับการปรับอันดับความน่าเชื่อถือขึ้นจากบริษัทจัดอันดับต่างชาติ
จากปัจจุบันระดับ BBB+ขึ้นมาระดับ A-หรือ A ซึ่งเป็นระดับเรตติ้งเดิมของไทยก่อนที่จะเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง
การเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง หลังมีปัญหาทางการเมืองไม่ต่ำกว่า 10 ปี ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทย ตลาดพันธบัตรหลังจากที่ขายต่อเนื่องมาหลายปี
การจัดอันดับไม่มีผลในแง่เศรษฐกิจมากนัก แต่จะส่งผลให้เงินไหลเข้ามากกว่าคาดการณ์ด้วยว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ไว้ที่ 4.3% การส่งออกเติบโต 8% ปีหน้าเศรษฐกิจจะโต 4.5%
นั่นก็หมายความว่าการเลือกตั้งจะสร้างความเชื่อมั่นชัดเจน
พูดถึงเรื่องนี้แล้วไปอีกฟากหนึ่งของโลกคือสหรัฐฯ ซึ่งกำลังต่อกรด้วยการประกาศสงครามการค้ากับจีนอย่างเอาเป็นเอาตาย
อังคารที่ 6 พ.ย.61 สหรัฐฯจะมีการเลือกตั้งกลางเทอมในรัฐบาล “ทรัมป์” เป็นการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาทั้งในส่วนของ ส.ส.-ส.ว. มีเก้าอี้ ส.ส. 435 ที่นั่ง ส.ว. 35 ที่นั่ง
ปัจจุบันพรรครีพับลิกันของประธานาธิบดีทรัมป์ซึ่งเป็นเสียงข้างมากด้วยจำนวน ส.ส. 235 ที่นั่ง ส.ว. 51 ที่นั่ง เดโมแครต ส.ส. 193 ที่นั่ง และ ส.ว. 47 ที่นั่ง ผู้สมัครอิสระ 2 ที่นั่ง
การเลือกตั้งกลางเทอมนี้ถือว่ามีความสำคัญพรรครัฐบาลเป็นอย่างมาก เนื่องจากผลการดำเนินนโยบายของ “ทรัมป์” นั้นเข้าทำนอง “บ้าก็บ้าวะ” สร้างความไม่พอใจต่อชาวสหรัฐฯค่อนข้างสูง
แต่เนื่องจากมี ส.ส. และ ส.ว. มากกว่าจึงราบรื่นมาได้
ทว่ามีการสำรวจความเห็นหรือโพลต่างๆพบว่าผู้สมัครของเดโมแครตโดยเฉลี่ยทั่วไปยังได้เปรียบเหนือกว่ารีพับลิกันเกือบทุกตัวอย่างแบบสอบถาม
...
คะแนนนิยมส่วนตัวของ “ทรัมป์” ก่อนเข้าสู่การเลือกตั้งกลางเทอมปรากฏมีคนชื่นชอบ 47% ซึ่งดีขึ้นกว่าที่ผ่านมาคือ 44%
ทว่ายังน้อยกว่าผู้ที่ไม่ชื่นชอบ 52% เกินกว่าครึ่งหนึ่ง
อีกทั้งผู้ที่จะไปเลือกตั้งระบุว่าจะเลือกผู้สมัครของพรรคเดโมแครต 48% รีพับลิกัน 41% สูงกว่าถึง 7%
จากการสำรวจในกลุ่มชาวสหรัฐฯไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสตรี กลุ่มชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกา แนวสีผิวต่างๆ ส่วนใหญ่จะเลือกพรรคเดโมแครต แม้แต่พวกที่อายุต่ำกว่า 35 ปี ก็เช่นเดียวกัน แต่พวกที่อายุตั้งแต่ 35-49 ปีจะเลือกรีพับลิกันมากกว่าเดโมแครต
เฉพาะกลุ่มอายุ 65 ปีขึ้นไปจะเลือกรีพับลิกันมากกว่า
ที่น่าสนใจก็คือชาวชนบทจะชอบพรรคเดโมแครตมากกว่าคนในเมือง
ว่ากันว่าผู้สนับสนุนทั้ง 2 พรรค ล้วนมีความกระตือรือร้นที่ต้องการไปใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นอย่างมากเพื่อแสดงออกทางการเมือง
แม้ว่าภาพโดยรวมแล้วความนิยมที่มีต่อพรรคเดโมแครตจะสูงกว่ารีพับลิกันซึ่งทำให้ “ทรัมป์” หวั่นไหวไม่น้อย
แต่เขาก็เชื่อว่าไม่มีทางแพ้
เนื่องจากเชื่อว่าด้วยนโยบายที่เขาดำเนินการตามที่ประกาศเอาไว้ ซึ่งชาวอเมริกันได้ประโยชน์จาก “อเมริกันเฟิร์ต”
การรีดเก็บภาษีจากประเทศต่างๆโดยเฉพาะจากจีนทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้นักธุรกิจต่างพอใจ
ทว่าจะทำให้คะแนนนิยมดีขึ้นเพื่อลบล้างลูกบ้าของเขาได้หรือไม่...เท่านั้น.
“สายล่อฟ้า”