การประชุมสุดยอดระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ และวลาดิเมียร์ ปูติน จบลงอย่างชื่นมื่น โดยทั้ง 2 ฝ่ายต่างบอกว่านี่เป็นก้าวแรกสู่การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่าย...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ และประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย พูดคุยกันตัวต่อตัวนานเกือบ 2 ชั่วโมงในการประชุมสุดยอดครั้งแรกระหว่างผู้นำทั้งสองคน ที่กรุงเฮลซิงกิ เมืองหลวงของประเทศฟินแลนด์ เมื่อวันจันทร์ที่ 16 ก.ค.

โดนัลด์ ทรัมป์ และวลาดิเมียร์ ปูติน จับมือทักทายกันก่อนเริ่มการซัมมิต
โดนัลด์ ทรัมป์ และวลาดิเมียร์ ปูติน จับมือทักทายกันก่อนเริ่มการซัมมิต

หลังหารือกันเสร็จสิ้น ผู้นำทั้งสองคนก็จัดงานแถลงข่าวร่วมกันที่ทำเนียบประธานาธิบดีฟินแลนด์ โดยนายปูตินกล่าวยกย่องการประชุมครั้งนี้ว่าเป็นการซัมมิตที่ประสบความสำเร็จ ขณะที่นายทรัมป์ประกาศว่า พวกเขาได้เริ่มเดินก้าวแรกไปสู่อนาคตที่สดใส ในเรื่องความร่วมมือและสันติภาพ

...

“ความเห็นที่ไม่ตรงกันระหว่างประเทศของเราทั้งสองเป็นที่รู้กันดี และวันนี้ผมกับประธานาธิบดีปูตินก็ได้หารือเรื่องพวกนั้นในที่สุด” นายทรัมป์กล่าว “ความสัมพันธ์ของเราไม่เคยเลวร้ายไปกว่าทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม มันเปลี่ยนไปแล้ว ไม่เหมือนเมื่อ 4 ชั่วโมงก่อน วันนี้เป็นวันที่มีการพัฒนา ไม่กี่ชั่วโมงที่เราใช้เวลาด้วยกันนั้นมันสร้างสรรค์มากๆ ผมมั่นใจว่าเราจะได้พบกันอีกในอนาคต บ่อยๆ ด้วย”

ด้านนายปูตินซึ่งข่าวระบุว่ามีท่าทีมีความสุขมากกว่าก่อนการหารืออย่างเห็นได้ชัด กล่าวว่า การเจรจากับทรัมป์เกิดขึ้นในบรรยากาศที่เปิดกว้างและสร้างสรรค์ และเขาพบว่ามันประสบความสำเร็จและมีประโยชน์ ผู้นำรัสเซียเสริมอีกว่า การพบกันครั้งนี้เป็นก้าวแรกสู่การฟื้นฟูความเชื่อใจในระดับที่ยอมรับได้ และกลับไปสู่การมีปฏิสัมพันธ์ระดับเดิม ในปัญหาต่างๆ ที่ทั้งสองฝ่ายเกี่ยวข้อง เช่น สงครามกลางเมืองซีเรีย

ปูตินมอบลูกบอลที่ใช้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ซึ่งรัสเซียเป็นเจ้าภาพให้นายทรัมป์เป็นที่ระลึก
ปูตินมอบลูกบอลที่ใช้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ซึ่งรัสเซียเป็นเจ้าภาพให้นายทรัมป์เป็นที่ระลึก

ขณะเดียวกัน นายทรัมป์ถูกนักข่าวถามด้วยว่าเขาเชื่อหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ หรือเชื่อคำพูดของประธานาธิบดีปูติน ในเรื่องที่รัสเซียถูกกล่าวหาว่าแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2559 ซึ่งผู้นำสหรัฐฯ ตอบว่า “ประธานาธิบดีปูตินบอกว่าไม่ใช่รัสเซีย ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีเหตุผลอะไรที่จะเป็นรัสเซีย”

อนึ่ง คำพูดของนายทรัมป์ตรงข้ามกับข้อสรุปของสำนักงานข่าวกรองสหรัฐฯ ที่ระบุในปี 2559 รัสเซียอยู่เบื้องหลังความพยายามในการบ่อนทำลายนางฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งของนายทรัมป์ โดยใช้การโจมตีทางไซเบอร์และเผยแพร่ข่าวปลอมผ่านทางโลกออนไลน์