สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำกรุงเทพฯ เผยแพร่แถลงการณ์ของ นายหลู่ เจี้ยน เอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทย  เนื่องในโอกาสวันที่ 1 ก.ค.2561 เป็นวันครบรอบ 43 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีน กับไทย มีเนื้อหาดังนี้:

‘ วันนี้เป็นวันครบรอบ 43 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ปี ค.ศ.1975 ภายใต้การเอาใจใส่และผลักดันของผู้นำรุ่นอาวุโสของทั้งสองประเทศ ประเทศจีนและประเทศไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการเปิดศักราชใหม่แห่งความร่วมมือฉันมิตรของสองประเทศ ตลอดระยะเวลา 43 ปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์จีน-ไทยยังคงแนวโน้มการพัฒนาที่มีเสถียรภาพอย่างเสมอต้นเสมอปลาย จนกลายเป็นแบบอย่างที่ดีของการอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียว และพัฒนาร่วมกันระหว่างประเทศ


ทั้งจีนและไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่สำคัญในทวีปเอเชีย ต่างมีประวัติศาสตร์รุ่งโรจน์อันยาวนาน การติดต่อสัมพันธ์กันระหว่างสองประเทศมีมาช้านาน ในยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันตก จีนก็มีการบันทึกเกี่ยวกับการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างจีนและไทย ในราวๆศตวรรษที่ 10 ทั้งสองประเทศก็มีการไปมาหาสู่กันอย่างสม่ำเสมอ ในศตวรรษที่ 12 มีคนจีนอพยพและพำนักในประเทศไทย การไปมาหาสู่กันฉันมิตรนับเวลา 2,000 กว่าปีนั้น ได้สร้างความผูกพันที่ลึกซึ้งที่มีความใกล้ชิดทางสายเลือด ความคล้ายคลึงกันทางวัฒนธรรม ดังคำกล่าวว่า “จีน ไทย ใช่อื่นไกล พี่น้องกัน”

กาลเวลา43ปีนับตั้งแต่การสถาปนาความสัมพันธ์ได้เป็นพยานประจักษ์การเจริญก้าวหน้าของทั้งสองประเทศ ประเทศจีนได้เดินทางอย่างมีนัยสำคัญทางประวัติศาสตร์ตามแนวทางการปฏิรูป เปิดประเทศ ซึ่งเป็นแนวทางสังคมนิยมที่มีเอกลักษณ์จีน ทำให้ประเทศจีนมีความเจริญก้าวหน้า จนกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 2 ของโลก และประเทศอุตสาหกรรมอันดับ 1 ของโลก ทำให้ประชากรกว่า 700 ล้านคนพ้นจากความยากจน มีสัดส่วนในการผลักดันการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโลกถึงร้อยละ 30 ติดต่อกันมาหลายปี ซึ่งเป็นการส่งเสริมกิจการสันติภาพและการพัฒนาของมนุษยชาติ ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยก็พยายามค้นหาแนวทางพัฒนาที่เหมาะกับสถานการณ์ของไทย เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเมือง มีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคม

...

ประเทศไทยเป็นประเทศสมาชิกอาเซียนที่มีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน “สี่เสือแห่งเอเชีย” มีความกระตือรือร้นในความร่วมมือในกิจการภูมิภาคโดยมีอาเซียนเป็นศูนย์กลาง และผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศทางด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน จนกลายเป็นพลกำลังสำคัญในการพิทักษ์สันติภาพ การพัฒนาและความร่วมมือระดับภูมิภาคและระดับโลก

ในขณะที่ทั้งสองประเทศต่างพัฒนาก้าวหน้าไปพร้อมๆกัน ความร่วมมือฉันมิตรรอบด้านระหว่างจีน-ไทยก็พัฒนาอย่างงดงาม ทางด้านการเมืองมีความไว้เนื้อเชื่อใจ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้ามีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง การแลกเปลี่ยนทางสังคม วัฒนธรรมมีความสนิทสนมมากยิ่งขึ้น การเยือนของผู้นำระดับสูงของทั้งสองประเทศบ่อยครั้ง เสมือนการเยี่ยมญาติ ผู้นำประเทศจีนจำนวนมากเคยเยือนประเทศไทย พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จเยือนจีน ผู้นำรัฐบาล รัฐสภา ทางทหารเยือนจีนหลายครั้งได้ชี้แนะและผลักดันการพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคี

จีนเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญที่สุดของไทยติดต่อกันมา 5 ปี เป็นประเทศที่มีการลงทุนในไทยมากเป็นอันดับ3 ในบรรดาต่างประเทศที่มาลงทุนในไทย ประเทศไทยเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญอันดับที่ 3 ในอาเซียนของจีน โครงการความร่วมมือรถไฟจีน-ไทยระยะที่ 1 ได้เปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งเป็นการเริ่มศักราชใหม่ของการเชื่อมโยงในภูมิภาค บริษัทจีนที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มีศักยภาพสูงและมีนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ใช้เศรษฐกิจรูปแบบใหม่และความรู้เป็นฐานมาลงทุนที่ไทยนับว่ายิ่งมากขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มพลังใหม่แก่ความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจการค้าจีน-ไทย

การแลกเปลี่ยนทางสังคม วัฒนธรรมระหว่างทั้งสองประเทศมีความคึกคัก ปัจจุบันมีนักเรียน นักศึกษาจีน 37,000 คน เรียนที่ไทย ขณะเดียวกันมีนักเรียน นักศึกษาไทย มากกว่า 27,000 คนเรียนที่จีน มีครูจีนอาสาสมัครกว่า 1,700 คนสอนภาษาจีนที่เมืองไทย นอกจากทั้งสองฝ่ายยังดำเนินการความร่วมมือระดับอาชีวศึกษาในหลากหลายสาขา เช่น รถไฟความเร็วสูง การบินและอวกาศ ปัญญาประดิษฐ์ การบริหารจัดการโลจิสติกส์ ปีทีผ่านมา มีนักท่องเที่ยวจีนเกือบ 10 ล้านคนมาท่องเที่ยวเมืองไทย ความเข้าใจกันระหว่างประชาชนกลายเป็นแหล่งพลังงานใหม่ให้กับ “จีน ไทย ใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ในเมื่อประชาชนของเราตกอยู่ท่ามกลางความยากลำบาก ทั้งสองฝ่ายมักจะช่วยเหลือเกื้อกูลและร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันอยู่สม่ำเสมอ เมื่อ2-3วันนี้ข่าวเด็กนักฟุตบอลและโค๊ช13คนติดถ้ำเป็นที่จับตามองจากสังคมจีนอย่างมาก ฝ่ายจีนขอส่งกำลังใจให้ครอบครัวเด็กและโค๊ชทุกคน และพร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลืออย่างเต็มที่

วันนี้ ทั้งจีนและไทยอยู่ในโลกที่มีการพัฒนา การปฏิรูป การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่หลวง ต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยง ปัจจัยไม่แน่นอนต่างๆนานา ลัทธิครองความเป็นเจ้า ลัทธิการเมืองที่ยึดความเป็นใหญ่ยังคงดำรงอยู่ การคุกคามจากความปลอดภัยทั้งที่เป็นแบบดั้งเดิมและแบบใหม่ยังปรากฏบ่อยครั้ง ลัทธิยึดตนเป็นใหญ่ กระแสการต่อต้านการค้าเสรี การต่อต้านโลกาภิวัตน์ก็มีการแสดงออกมาในรูปแบบใหม่

แต่ในขณะเดียวกัน กระแสโลกาภิวัตน์ ความเป็นพหุนิยม ความเป็นสังคมสื่อสารไร้พรมแดน ความหลากหลายวัฒนธรรมมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว สันติภาพ การพัฒนา ความร่วมมือเป็นกระแสหลัก สอดคล้องกับความต้องการของคนบนโลก บนพื้นฐานความเข้าใจเกี่ยวกับกระแสโลกและกระแสยุคสมัยที่ลึกซึ้งและถูกต้อง ประธานาธิบดี สี จิ้นผิงได้เสนอการผลักดันการสร้างประชาคมร่วมอนาคตของมนุษยชาติที่ยึดพิทักษ์สันติภาพของโลก มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาร่วมกัน และผลักดันการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบใหม่ที่มีความเคารพซึ่งกันและกัน มีความเสมอภาคและเป็นธรรม ความร่วมมือที่เอื้อประโยชน์แก่กันและกัน

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบใหม่ที่จีนนำเสนอนั้น เน้นการเคารพสิทธิ์ของแต่ละประเทศในการตัดสินใจเลือกระบอบสังคมและเส้นทางของการพัฒนา เคารพผลประโยชน์หลักและประเด็นปัญหาสำคัญซึ่งกันและกัน ผลักดันเดินตามเส้นทางใหม่ของการคบหาสมาคมระหว่างประเทศที่เน้นสนทนาแต่ไม่ต่อต้าน เป็นหุ้นส่วนแต่ไม่เป็นพันธมิตร เพื่อได้มาซึ่งชนะร่วมกันของความสัมพันธ์หุ้นส่วนทั่วโลก แนวความคิดนี้ก้าวล้ำเกมทฤษฏี( Zero-Sum game theory ) แบบผู้ชนะกินรวบ ผู้ที่เข้มแข็งกว่ารังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบใหม่ที่จีนนำเสนอเป็นแผนงานของจีนที่แก้ไขปัญหาที่มีความยากเย็น ความซับซ้อนในยุดนี้

...

ความร่วมมือฉันมิตรจีน-ไทยเป็นแบบอย่างที่ดีของการปฏิบัติตามความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบใหม่ ตลอดระยะเวลา 43 ปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ทวิภาคีประสบความสำเร็จงดงาม ด้วยหลักการเคารพซึ่งกันและกัน เสมอภาค ความเป็นธรรม ร่วมมือเอื้อประโยชน์แก่กันและกันที่เรายึดถือ เมื่อมองไปอนาคต เรามีเหตุผลเพียงพอที่เชื่อว่า ขอเพียงพวกเรายึดหลักการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบใหม่อย่างต่อเนื่อง ความร่วมมือจีน-ไทยจะประสบความสำเร็จให้เราได้ชื่นชมอย่างต่อเนื่องต่อไป

ข้อแรก เราต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งในการประสานยุทธศาสตร์ ยืนหยัดสนับสนุนเส้นทางการพัฒนาที่แต่ละประเทศตัดสินใจเลือกที่เหมาะสมกับแต่ละประเทศ ผลักดันการประสานยุทธศาสตร์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางกับไทยแลนด์ 4.0 ตลอดจนนโยบาย กฎหมาย และภาคปฏิบัติในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่ออำนวยประโยชน์ต่อความร่วมมือที่มีความลึกซึ้งและกว้างขวาง

ข้อที่สอง เราต้องดำเนินความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ อย่างเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง ทั้งยกระดับความร่วมมือทางด้านสาขาอุตสาหกรรมดั้งเดิมและส่งเสริมความร่วมมือสาขาใหม่ เช่นระบบนิเวศเศรษฐกิจใหม่ อุตสาหกรรมใหม่ การเกษตรสมัยใหม่ เศรษฐกิจดิจิทัล การผลิตขั้นสูง พลังงานใหม่เป็นต้น ผลักดันความร่วมมือรถไฟสร้างเสร็จโดยเร็วและนำมาซึ่งความผาสุกแก่ประชาชนตามเส้นทางรถไฟ ประเทศจีนยังจะผลักดันมาตรการใหม่เพื่อเปิดประเทศกว้างมากยิ่งขึ้น ยินดีต้อนรับฝ่ายไทยเข้าร่วมมหกรรมแสดงสินค้านำเข้าครั้งที่ 1 ที่จัดในเดือนพฤศจิกายนนี้ ณ นครเซี่ยงไฮ้ ยินดีเป็นเวทีเพื่อให้สินค้าและการบริการของไทยสู่ตลาดจีน

ข้อที่สาม เราต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งในการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนสังคม วัฒนธรรมรอบด้าน เราต้องดำเนินความร่วมมือทางด้านการศึกษา วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดำเนินโครงการอบรมแก่บุคลากร เจ้าหน้าที่ที่เน้นแบ่งปันความรู้ เทคโนโลยีทางด้านรถไฟ เศรษฐกิจดิจิทัล วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม แบ่งปันประสบการณ์ในการขจัดความยากจน การพัฒนาชนบท ส่งเสริมความร่วมมือและแลกเปลี่ยนทางด้านคลังสมอง สื่อมวลชน และเยาวชน

...

ข้อที่สี่ เราต้องขยายความร่วมมือระดับภูมิภาคและระดับโลก ประเทศไทยจะเป็นประธานหมุนเวียนอาเซียนในปีหน้า ฝ่ายจีนยินดีสนับสนุนบทบาทของไทยอย่างเต็มกำลัง สนับสนุนสถานะความเป็นศูนย์กลางของอาเซียนในความร่วมมือระดับภูมิภาค ยินดีร่วมมือกับฝ่ายไทยผลักดันการยกระดับคุณภาพของความร่วมมือจีน-อาเซียน ผลักดันความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขงประสบความสำเร็จใหม่ และมีการประสานงาน ความร่วมมือในทางด้านธรรมาภิบาลโลก การพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นต้น เป็นผู้นำของความร่วมมือระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศที่มีความเปิดกว้างและยอมรับความแตกต่าง และผลักดันการสร้างประชาคมที่ร่วมอนาคตของมนุษยชาติ

จีนและไทยมีโอกาสที่ดีทางประวัติศาสตร์ ทั้งจีนและไทยสองประเทศต่างยืนในจุดเริ่มต้นใหม่ ไม่ว่าสถานการณ์โลกมีการแปรปรวนอย่างไรก็ตาม ขอเพียงเราทั้งสองฝ่ายเคียงบ่าเคียงไหล่ ก้าวหน้าไปพร้อมกัน ความสัมพันธ์หุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์รอบด้านจีน-ไทยจะมีการพัฒนาสืบไป จะนำมาซึ่งความผาสุกแก่ประชาชนทั้งสองประเทศ ผลักดันให้ทั้งสองประเทศของเราก้าวสู่ยุคใหม่ที่มีการพัฒนา มีความเจริญก้าวหน้าร่วมกัน