สตีเฟน ฮอว์กกิ้ง เสนอผลงานวิจัยสุดท้ายเพียง 2 สัปดาห์ก่อนเสียชีวิต โดยทำนายจุดจบของโลกและจักรวาล และวิธีที่อาจใช้หาหลักฐานพิสูจน์การมีอยู่ของพหุภพได้...
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สตีเฟน ฮอว์กกิ้ง ยอดนักฟิสิกส์ของโลก นำเสนอผลงานวิจัยชิ้นสุดท้ายของเขาเพียง 2 สัปดาห์ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตเมื่อวันที่ 14 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยเป็นการการทำนายจุดจบของโลก และวิธีที่นักวิทยาศาสตร์อาจใช้เพื่อหาหลักฐานเรื่องการมีอยู่ของ พหุภพ หรือ ‘multiverse’
งานวิจัยดังกล่าวมีชื่อว่า ‘A Smooth Exit from Eternal Inflation’ ซึ่งฮอว์กกิ้งวิจัยร่วมกับศ.โธมัส เฮอร์ต็อก นักทฤษฎีฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัย เคยู เลอเฟิน ในประเทศเบลเยียม โดยเป็นการบรรยายวิธีที่จักรวาลรวมทั้งโลกของเราจะค่อยๆ เลือนหายไปในความมืดมิด เมื่อดาวฤกษ์ทุกดวงหมดพลังงาน และยังเผยให้เห็นวิธีที่มนุษย์อาจใช้เพื่อตรวจสอบหาหลักฐานการมีอยู่ของพหุภพ หรือ โลกคู่ขนาน และวางสูตรทางคณิตศาสตร์ที่อาจจำเป็นสำหรับการสำรวจอวกาศเพื่อหาหลักฐานที่ว่าด้วย
งานวิจัยสุดท้ายของฮอว์กกิ้งนับเป็นการต่อยอดจากทฤษฎีไร้พรมแดน ที่เขากับดร. เจมส์ ฮาร์เทิล ร่วมกันคิดค้นขึ้นในปี 1983 ซึ่งอธิบายว่าจักรวาลไม่มีขอบเขต และกำเนิดขึ้นจากปรากฏการณ์ บิ๊กแบง ทฤษฎีนี้ยังเสนอแนะว่ายังมี บิ๊กแบง อื่นๆ เกิดขึ้นอีก สร้างจักรวาลขึ้นมาจำนวนนับไม่ถ้วนและถูกเรียกว่า พหุภพ “เราต้องการเปลี่ยนความคิดเรื่องพหุภพให้เป็นโครงสร้างทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้”
ทั้งนี้ สตีเฟน ฮอว์กกิ้ง ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคอะไมโอโทรฟิก แลเทอรัล สเกลอโรซิส (ALS) หรือเซลล์ประสาทนำคำสั่งเสื่อม เมื่ออายุได้เพียง 22 ปี และถูกระบุว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปี แต่ฮอว์กกิ้งสร้างความตกตะลึงให้หมอ ด้วยการมีชีวิตอยู่ต่อมาได้นานกว่า 50 ปี มีผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์มากมายโดยเฉพาะทฤษฎีหลุมดำ ก่อนจะเสียชีวิตอย่างสงบเมื่อ 14 มี.ค. ที่ผ่านมา
...