ประเทศจีนมีประชากรมากกว่า 1,400 ล้านคน และคนตระกูลหม่าที่เป็นมหาเศรษฐีระดับโลกก็ไม่ได้มีแค่ “แจ็ค หม่า” ผู้ก่อตั้ง Alibaba กลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซทรงอิทธิพลของโลก แต่ยังมีคนตระกูลหม่าอย่าง “โพนี่ หม่า” เจ้าของอาณาจักรธุรกิจไอทีใหญ่ที่สุดของจีน วัย 45 ปี ที่ปัจจุบันรวยแซงหน้า “แจ็ค หม่า” ไปแล้ว ขึ้นแท่นมหาเศรษฐีรวยสุดอันดับ 9 ของโลก เป็นคนแรกในเอเชีย ด้วยสินทรัพย์ 8,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รวยกว่าเจ้าของกูเกิลด้วยซ้ำ
ด้วยบุคลิกเงียบขรึม ชอบเก็บเนื้อเก็บตัว ใช้ชีวิตสมถะ ไม่โผงผางพูดเก่งเหมือนกับเจ้าของอาลีบาบา ทำให้โลกภายนอกไม่ค่อยรู้จัก “โพนี่ หม่า” ทั้งๆที่เขาก่อตั้งบริษัท “Tencent” ก่อนอาลีบาบาจะเกิดไม่กี่เดือน และใช้เวลาไม่กี่ปีก็ประสบความสำเร็จกลายเป็นเจ้าของโซเชียลเน็ตเวิร์กยอดนิยมอันดับหนึ่งในจีน ที่มีฐานลูกค้าในมือเป็นพันล้านคน ชีวิตวัยเด็กของ “โพนี่ หม่า” หรือ “หม่า ฮั่วเถิง” ไม่ได้วิ่งสู้ฟัดเท่ากับ “แจ็ค หม่า” เขาเกิดในเมืองโจวหยาง มณฑลกวางตุ้ง แต่ไปโตที่เซินเจิ้น ย้ายตามพ่อไปทำงานเป็นผู้จัดการท่าเรือ เขาเรียนจบปริญญาตรีด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยเซินเจิ้น เริ่มทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์บริษัท จำหน่ายผลิตภัณฑ์โทรคมนาคมเล็กๆ
“ไอเดียไม่ใช่เรื่องสำคัญในจีน แต่การลงมือทำสำคัญกว่า” คำพูดสั้นๆของ “โพนี่ หม่า” สะท้อนถึงแนวคิดของเขาได้ดี เขาไม่ใช่นักธุรกิจที่ขยันพูดออกสื่อ แต่ถนัดก้มหน้าก้มตาทำงาน ด้วยความเป็นคนหนุ่มไฟแรง “โพนี่ หม่า” ชักชวนเพื่อนอีก 3 คน ก่อตั้งบริษัท Tencent ในปี 1998 โดยยุคแรกให้บริการวางเครือข่ายระบบคอมพิวเตอร์ จากนั้นก็ไปก๊อบปี้โปรแกรมแชตของอิสราเอล “ICQ” ซึ่งเป็น Instant messaging ตัวแรกของโลก มาลอกแบบเป็นโปรแกรมแชตเวอร์ชั่นจีน “OICQ” เปิดให้บริการต้นปี 1999 ได้รับความนิยมรวดเร็วมาก ภายในปีเดียวมีผู้ใช้บริการ 1 ล้านคน
...
อย่างไรก็ดี ธุรกิจที่กำลังไปได้สวยต้องสะดุดลง เมื่อเจ้าของโปรแกรมแชตต้นแบบ ICQ ยื่นฟ้อง Tencent ฐานละเมิดลิขสิทธิ์ทางปัญญา ทำให้ “โพนี่ หม่า” ต้องปิดโดเมนเก่า และกลับมาใหม่อีกครั้งในปี 2000 กับโปรแกรมแชตบนคอมพิวเตอร์ที่เปรี้ยงปร้างกว่าเดิมในชื่อ “QQ Messenger” ที่มีนกเพนกวินเป็นสัญลักษณ์ คราวนี้ยอดผู้ใช้ของ QQ พุ่งไปถึง 100 ล้านคน นอกจาก Tencent จะจับมือค่ายมือถือใหญ่ “ไชน่า โมบาย” เพื่อเชื่อมต่อบริการเข้าไปยังมือถือ ทั้งการส่งข้อความ, เล่นเกม และหาคู่ผ่านมือถือ เขายังคิดหาบริการใหม่ๆมาดูดเงินผู้ใช้ ถือเป็นบริษัทอินเตอร์เน็ตรายแรกๆ ที่สามารถหารายได้จากผู้ใช้งานด้วยเงินเสมือนจริง โดยไม่พึ่งเฉพาะค่าโฆษณา ภายในปี 2002 ยอดผู้ใช้ QQ ทะลุ 160 ล้านคน และในปี 2004 Tencent ก็ผงาดเป็นผู้ให้บริการแชตบนคอมพิวเตอร์รายใหญ่ที่สุดของจีน ครองส่วนแบ่งตลาดในจีน 74% ปี 2004 ยังเป็นปีทองของ “โพนี่ หม่า” เขานำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง พร้อมเปิดตัวเกมออนไลน์เป็นแพลตฟอร์มใหม่ สร้างรายได้มหาศาลจากการขายไอเท็มต่างๆด้วยเงินเสมือนจริง ภายหลังธุรกิจนี้เติบโตแรงมาก Tencent จึงหันมาพัฒนาเกมของตัวเอง โดยร่วมมือกับบริษัทเกมหลายประเทศ กลายเป็นเจ้าแห่งเกมออนไลน์รายใหญ่ที่สุดของโลกไปแล้ว เพราะถือคติตีเหล็กต้องตีตอนร้อน เมื่อ QQ ฮอตฮิตติดลมบน “โพนี่ หม่า” ก็เดินหน้าเปิดตัวเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ Paipai.com มาแข่งกับ Taobao ของอาลีบาบา พร้อมกันนี้ยังเปิดตัวเว็บเสิร์จเอ็นจิ้นชื่อว่า Soso.com ปั้นจนขึ้นอันดับเว็บค้นหายอดฮิตเบอร์สามของโลก รองจาก Baidu และ Google
ไม่หยุดเพียงแค่นี้ “โพนี่ หม่า” มองหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆมาตีตลาดเพิ่ม เขาจัดการแข่งขันระหว่าง 2 ทีมวิจัย เพื่อสร้างโปรดักส์ใหม่ที่ทำให้ทุกคนต้องว้าว ผลลัพธ์ที่ได้คือแอพพลิเคชั่นสำหรับการส่งข้อความและแชตเป็นกลุ่ม “Weixin” ซึ่งต่างประเทศรู้จักในนาม “Wechat” เปิดตัวปุ๊บในปี 2011 ก็กลายเป็นแอพแชตที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีผู้ใช้บริการมากถึง 980 ล้านคนในปัจจุบัน ได้รับความนิยมไม่เฉพาะในจีน แต่ยังแพร่หลายไปทั่วเอเชียและยุโรป ปัจจุบัน Wechat ไม่ได้เป็นแค่แอพแชตธรรมดา แต่ยังเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของผู้ใช้ชาวจีน โดยผนวกเอาบริการต่างๆมาอยู่บนแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงินผ่าน WechatPay, แอพฯเรียกแท็กซี่, สั่งอาหาร, จองตั๋วเครื่องบิน และซื้อสินค้าออนไลน์ นอกจากนี้ Tencent ยังลงทุนในธุรกิจออนไลน์อีกสารพัด ทั้งเพลงออนไลน์, อีบุ๊กและแอพสโตร์ในจีน เรียกว่าตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน ชีวิตต้องอยู่ในอุ้งมือของตระกูลหม่า.
มิสแซฟไฟร์