เป็นมนุษย์เงินเดือนมั่นคงออกจะตาย เศรษฐกิจจะดีจะร้าย พอถึงสิ้นเดือนก็มีเงินเข้าบัญชี มันก็มีส่วนจริงอยู่บ้าง แต่บอกเลยว่ามนุษย์เงินเดือนที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อบริษัทเพียงอย่างเดียว ไม่มีทางร่ำรวยเป็นเศรษฐี!! ถึงจะขยันขันแข็งทำงานจนได้ขึ้นเงินเดือนทุกปี แต่สุดท้ายจะมีสักกี่คนที่ได้เป็นเศรษฐีมีเงินใช้อย่างสุขสบาย

อาชีพมนุษย์เงินเดือนมีกำแพงสกัดกั้นการเป็นเศรษฐีราวกับต้องมนต์ดำ!! “ซะกะชิตะ จิน” ที่ปรึกษาการเงินอาชีพของธนาคารยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่น เขียนจั่วหัวไว้ในหนังสือ “จงแต่งตั้งภรรยาของคุณเป็นประธานบริษัท” หลังค้นพบทางลัดสู่ความมั่งคั่งที่ซ่อนอยู่ภายในบ้านตัวเอง

กำแพงที่ขัดขวางความรวยของมนุษย์เงินเดือนก็คือ “กำแพงระบบภาษี” ทำให้เราไม่สามารถลดเงินภาษีที่ต้องจ่ายลงได้ เพราะถูกกำหนดด้วยฐานภาษีแล้ว, “กำแพงระบบเงินเดือน” ซึ่งไม่ได้ขึ้นเงินเดือนให้เราตามระดับความพยายาม หรือถึงเงินเดือนจะขึ้น ก็ไม่เคยเอาชนะเงินเฟ้อได้ และ “กำแพงกฎข้อบังคับในการทำงาน” ที่ห้ามไม่ให้มนุษย์เงินเดือนประกอบอาชีพเสริม เพราะกลัวบั่นทอนประสิทธิภาพงานประจำ

“ซะกะชิตะ” เขียนขึ้นจากประสบการณ์จริง เขาทำงานในแวดวงธุรกิจการเงินมากว่า 20 ปี ชำนาญวิธีลงทุนทุกรูปแบบ แต่เมื่อ 12 ปีที่แล้ว ตอนอายุ 40 กลับเป็นหนี้ก้อนโตและเกือบจะล้มละลาย เพราะอยากรวยทางลัด เอาเงินเก็บทั้งหมดไปลงทุนในตลาดหุ้น เลยเจ๊งบ๊งไม่เป็นท่า ในขณะที่กำลังมืดแปดด้าน อะไรทำให้เขาพบทางสว่างและสามารถปลดหนี้ได้ภายใน 5 ปี แถมทุกวันนี้ยังมีเงินในบัญชีหลายร้อยล้านเยน

แสงสว่างที่เขาค้นพบคือ ต้องล้มเลิกความคิดที่จะเป็นเศรษฐี แล้วหันมาผลักดัน “ภรรยา” ให้เป็นเศรษฐีแทน ตัวเขาเองยังคงทำงานกินเงินเดือนธนาคารต่อไปเพื่อรักษาความมั่นคงในครอบครัว ขณะเดียวกัน ก็เปิดบริษัทร่วมกับภรรยาที่เป็นแม่บ้าน แล้วให้ภรรยาดำรงตำแหน่งประธานบริษัทซะเลย

...

เขาไม่ได้เปิดบริษัทเพราะอยากมีกิจการของตัวเอง แต่เปิดบริษัทให้ภรรยาเป็นประธาน เพราะค้นพบเคล็ดลับว่า การเปิดบริษัทเป็นนิติบุคคล สามารถช่วยลดภาษีที่ต้องจ่ายได้มาก ชนิดที่มนุษย์เงินเดือนอย่างพวกเราไม่มีทางคาดคิด “การลดภาษีที่ต้องจ่าย” เป็นเทคนิคสร้างทรัพย์สินที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก ซึ่งมนุษย์เงินเดือนน้อยคนจะรู้เรื่องนี้ แต่พวกเจ้าของธุรกิจใหญ่ๆและเศรษฐีหาเงินจากช่องทางนี้มานานแล้ว เพราะมันเป็นวิธีเดียวที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนเลยสักเยน แต่ได้ผลตอบแทนกลับมาหลายแสนหลายล้านเยนทุกปี

ในขณะที่มนุษย์เงินเดือนอย่างพวกเรา ต้องถูกเก็บภาษีแบบขูดเลือดขูดเนื้อไปตลอดชีวิตการทำงาน โดยไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง เขาแนะนำว่าการจัดตั้งบริษัทส่วนตัว เพื่อเลื่อนสถานะขึ้นเป็นนิติบุคคล ก็เปรียบเหมือนได้ใส่เสื้อคลุมวิเศษ ทำให้เราหลุดพ้นสภาพเบี้ยล่างไปได้ เพราะนิติบุคคลไม่เพียงเสียภาษีน้อยกว่าบุคคลธรรมดา แต่ยังสามารถนำค่าใช้จ่ายสารพัดสารเพในครอบครัวไปหักเป็นรายจ่ายบริษัท เพื่อทำให้เห็นว่ากำไรบริษัทเหลือน้อยนิด และตัวเลขที่ต้องเสียภาษีก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็น การซื้อบ้านซื้อรถ ค่าบำรุงรักษาบ้านและรถ ค่าตั๋วเครื่องบิน การเดินทางท่องเที่ยว หรือการเลี้ยงดูปูเสื่อ ล้วนแต่สามารถนำใบเสร็จมาหักเป็นค่าใช้จ่ายบริษัทได้หมด ด้วยข้ออ้างว่าเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท และสวัสดิการพนักงาน

ส่วนเหตุผลที่ต้องยกให้ภรรยาเป็นผู้นำบริษัท แทนที่เขาจะนั่งเก้าอี้ประธานซะเอง ก็เพราะภรรยาของเขาไม่โดนกำแพงกีดกันความรวยเหมือนพวกมนุษย์เงินเดือน และเขายังเห็นแววชัดว่า ผู้หญิงเป็นเพศที่มีทักษะบางอย่างที่เป็นประโยชน์มากต่อการบริหารกิจการ เช่น ความละเอียดอ่อน, จู้จี้จุกจิก, ความเรื่องมาก, ความประหยัดอดออม, พรสวรรค์การเจรจาต่อรอง, ความสามารถในการโน้มน้าวใจคนให้เป็นพวกเดียวกัน และความเจ๊าะแจ๊ะ หน้าที่ของสามีมีเพียงอย่างเดียวคือ กระตุ้นแรงจูงใจให้ภรรยาอย่างต่อเนื่อง หมั่นเติมเชื้อไฟให้มาดามอยากรวยๆๆ

ทุกวันนี้พวกเขาก็รวยจริง มีเงินใช้อย่างสุขสบาย โดยธุรกิจที่เลือกลงทุนแล้วออกดอกออกผลในทัศนะของเขาคือ ธุรกิจใกล้ตัวที่ใช้เงินลงทุนก้อนเล็กๆ, ธุรกิจที่มอบความสุขให้คนอื่น, ธุรกิจที่เรียนรู้ง่ายไม่ซับซ้อน, ธุรกิจที่สามารถทำเมื่อมีเวลาว่างจากงานบ้าน และธุรกิจที่สามารถทำเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร ทำได้อย่างนี้รับรองว่าจะมีอิสรภาพทางการเงินอย่างแท้จริง.

มิสแซฟไฟร์