หน่วยงานภาครัฐและเอกชนระดมช่วย “น้องบีม” เด็กหญิงวีลแชร์ยอดนักสู้ เหยื่อทนายความโกงเงินค่าสินไหมทดแทนจำนวน 5 ล้านบาท หลังถูกรถพ่วงชนจนขาพิการ สภาทนายความเตรียมเรียก 2 แม่ลูกเข้าให้ปากคำในสัปดาห์หน้า ขณะที่ ผบช.น.ยอมรับเป็นเรื่องยากจะเอาผิดกับทนาย ระบุผู้เสียหายถอนแจ้งความในคดีฉ้อโกงไปแล้วจะแจ้งซ้ำอีกไม่ได้ ยกเว้นมีข้อเท็จจริงใหม่

สังคมยังเฝ้าจับตาเรื่องราวสะเทือนใจ กรณี ด.ญ.ภัทรดา หรือน้องบีม แก้วผ่อง อายุ 14 ปี นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนศรีสังวาล ซึ่งพิการขา 2 ข้าง ต้องนั่งรถวีลแชร์ตลอดเวลา เนื่องจากประสบอุบัติเหตุถูกรถพ่วง 18 ล้อ พุ่งชนรถยนต์ที่น้องบีมและครอบครัวโดยสารมาในพื้นที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อปี 2549 เป็นเหตุให้บิดาเสียชีวิต น.ส.พรทิพย์และน้องบีมบาดเจ็บสาหัส กลายเป็นผู้พิการตั้งแต่อายุเพียงแค่ 2 ขวบ จากนั้นบริษัทเจ้าของรถพ่วงคู่กรณีได้ชดใช้ค่าเสียหายให้ 5 ล้านบาท แต่ปรากฏว่า 2 แม่ลูกกลับถูกนายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ ทนายอาสา ที่รับว่าความคดีให้ โกงเงินดังกล่าวไปจนต้องเข้าแจ้งความไว้ที่ สน.บางยี่ขัน

ความคืบหน้าเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 30 มิ.ย. ที่ห้องพักเลขที่ 103 สายฝนแมนชั่น ภายในซอยต้นสน 15 ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เจ้าหน้าที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ สำนักงานกองทุนยุติธรรม สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม เดินทางเข้าพบ น.ส.พรทิพย์ จันทรัตน์ อายุ 44 ปี และ ด.ญ.ภัทรดา หรือน้องบีม แก้วผ่อง อายุ 14 ปี 2 แม่ลูกที่ถูกทนายความฉ้อโกงเงิน 5 ล้านบาท เพื่อสอบถามถึงเรื่องราวและข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้น พร้อมหาแนวทางให้ความช่วยเหลือในด้านคดีทุกคดีที่ 2 แม่ลูกถูกทนายความโกงเงินไป โดยจะตรวจสอบเอกสารบันทึกข้อมูลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างที่ น.ส.พรทิพย์ได้วิ่งเต้นต่อสู้คดี

...

น.ส.ธารีรัตน์ โยมบุตร นิติกร สำนักงานกองทุนยุติธรรม เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อ เท็จจริง เพื่อจะได้หาทางช่วยเหลือในด้านคดีเกี่ยวกับเรื่องทนายความ ค่าธรรมเนียมศาล และอื่นๆตามที่กองทุนยุติธรรมมีอำนาจ เบื้องต้นสามารถให้ความ ช่วยเหลือในเรื่องค่าที่พักและค่าเดินทาง ทั้งนี้ หลังทราบข้อมูลจาก 2 แม่ลูกทั้งหมดแล้ว เจ้าหน้าที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เตรียมลงพื้นที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อสืบสวนสอบสวนในประเด็นของคำพิพากษาศาลว่ามีคำพิพากษาอย่างไร ทนายความรายนี้รับเงินจากคู่กรณีรถพ่วงในรูปแบบไหน มีการพูดคุยติดต่อเซ็นเอกสารอะไรไปบ้าง เพื่อนำมาประชุมหาทางช่วยเหลือ 2 แม่ลูกรายนี้ต่อไป

ต่อมาเมื่อเวลา 11.30 น. น.ส.ณุมาพร พัฒน-พงศธร อายุ 55 ปี ตัวแทนกลุ่มเพื่อนนักกฎหมายไทย เดินทางเข้าพบ น.ส.พรทิพย์และน้องบีม ขณะที่ทั้งสองพากันออกมาเร่ขายของหาเลี้ยงชีพภายในวัดชลประทานรังสฤษดิ์ ย่านปากเกร็ด ซึ่งอยู่ห่างจากห้องพักประมาณ 300 เมตร เพื่อหาทางช่วยเหลือในด้านคดีอีกทางหนึ่ง หลังการพูดคุย น.ส.ณุมาพร เผยว่า เบื้องต้นต้องตรวจสอบและรวบรวมเอกสารต่างๆทั้งหมด เพื่อวางแนวทางในการช่วยเหลือทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาที่ปลอมแปลงเอกสารและฉ้อโกง เตรียมไว้สำหรับฟ้องร้องดำเนินคดีกับนายพิสิษฐ์ ทนายความที่โกงเงินไป โดยมีกลุ่มเพื่อนทนายความหลายคนพร้อมที่จะเข้ามาช่วยเหลืออย่างเต็มที่ และจากการตรวจสอบยังทราบว่านายพิสิษฐ์เคยมีประวัติถูกพักใบอนุญาตว่าความหรือตั๋วทนายมาแล้วตั้งแต่ปี 2550-2552

น.ส.พรทิพย์กล่าวว่า รู้สึกดีใจและขอบคุณที่มีส่วนราชการหลายหน่วยงานและกลุ่มทนายความเข้ามาช่วยเหลือในด้านคดี และอยากฝากไปถึงทนายพิสิษฐ์ว่าอยากให้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดจบลงด้วยดี ขอให้เอาเงินที่โกงไปมาคืน ตนพร้อมจะให้อภัย ไม่อยากจองเวรต่อกัน ในส่วนความช่วยเหลืออื่นๆ วันเดียวกันนี้ นางจริยา แอนโฟเน่ ดารานักแสดงและผู้จัดละครชื่อดัง ได้โอนเงินจำนวน 50,000 บาท เข้าบัญชีช่วยเหลือน้องบีมแล้วในเบื้องต้น สร้างความดีใจให้ 2 แม่ลูกอย่างมาก พร้อมฝากขอบคุณผู้มีจิตกุศลทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือ หลังต้องทุกข์ยากลำบากมาหลายปี

ที่สภาทนายความ นายสรัลชา ศรีชลวัฒนา เลขาธิการสภาทนายความ กล่าวว่า ได้ติดต่อและมีหนังสือแจ้งให้ 2 แม่ลูกผู้เสียหายในฐานะผู้กล่าวหามาให้ปากคำและลงชื่อก่อนเพื่อจะได้รู้ว่ามีการกล่าวหา นายพิสิษฐ์ สัมมาเลิศ ทนายคนดังกล่าว ว่าอย่างไรบ้าง เเละจะได้ส่งคำกล่าวหาไปให้นายพิสิษฐ์ ทราบว่ามีการกล่าวหาอย่างไรบ้าง ส่วนนายพิสิษฐ์จะยื่นคำเเก้ข้อกล่าวหามาอย่างไร เฉกเช่นการฟ้องคดีทั่วไป เเต่อยากให้นายพิสิษฐ์ มาให้ปากคำด้วยตัวเองมากกว่า เพราะจะทราบความจริงจากคำพูดเลย แต่หากจะทำคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษร ก็สามารถทำได้หลังจากที่รับหนังสือแจ้งหาเเล้วภายใน 15 วัน แต่ตอนนี้ยังติดต่อนายพิสิษฐ์ไม่ได้ ไม่ทราบว่ามีการเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์หรือไม่ ในส่วนของ น.ส.พรทิพย์ และน้องบีม จะเดินทางมาให้ปากคำที่สภาทนายความในวันที่ 3 ก.ค.นี้

ด้านว่าที่ พ.ต.สมบัติ วงศ์กำแหง ประธานฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย เนติบัณฑิตยสภา เปิดเผยว่า น.ส.พรทิพย์ ผู้เสียหาย ได้มาร้องเรียนที่สำนักงานช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย ขณะนี้สั่งการให้ทนายความไปติดตามเรื่องทั้งทางแพ่งและอาญา ส่วนเรื่องความประพฤติของทนายนั้น ในฐานะอุปนายกสภาทนายความ เตรียมตรวจสอบฐานประพฤติตนไม่เหมาะสมทำให้เกิดความเสียหายโดยรวม โทษคือลบชื่อออกจากการเป็นทนายความ

พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น.กล่าวถึงคดีที่น.ส.พรทิพย์ ผู้เสียหาย แจ้งพนักงานสอบสวน สน.บางยี่ขัน ให้ดำเนินคดีนายพิสิษฐ์ ในคดีฉ้อโกงและปลอมแปลงเอกสารว่า พนักงานสอบสวน เจ้าของคดี รายงานว่า คดีฉ้อโกงสามารถยอมความได้ และผู้เสียหายได้ถอนคำแจ้งความร้องทุกข์ไปแล้ว หากประสงค์จะแจ้งดำเนินคดีอีกครั้ง ทำไม่ได้ ยกเว้นจะเกิดข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ ส่วนสำนวนการสอบสวนคดีปลอมแปลงเอกสาร พนักงานสอบสวนส่งสำนวนไปยังชั้นอัยการแล้ว ทั้งนี้ สั่งการให้ พ.ต.อ.อรรถวุฒิ นิวาตโสภณ ผกก.สน.บางยี่ขัน ไปดูว่าจะช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายได้มากแค่ไหน พร้อมตรวจสอบข้อเท็จจริง หากมีข้อมูลที่กระทำความผิดในกรรมอื่น ฐานอื่น หรือต่างกรรมต่างวาระ ต้องดำเนินการกับบุคคลที่ทำให้ผู้พิการเสียหาย แต่ถ้ามีเพียงแค่วาระเดียวหรือกรรมเดียวก็เป็นเรื่องยาก

...

บ่ายวันเดียวกัน น.ส.ปิติกาญจน์ สิทธิเดช อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ มอบหมายให้ เจ้าหน้าที่กองพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เดินทางไปที่บ้าน 2 แม่ลูก เพื่อแจ้งสิทธิแก่ผู้เสียหายตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544 พร้อมแนะนำแนวทางการขอรับความช่วยเหลือด้านอื่นๆจากหน่วยงานรัฐให้กับ 2 แม่ลูก นอกจากนี้ จะทำหนังสือประสานไปยังกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้โรงพยาบาลชลประทาน รับตัวมารดาและน้องบีมเข้ารับการรักษาอาการบาดเจ็บต่อไป