ศาลจังหวัดนราธิวาส สั่งจำหน่าย "คดีตากใบ" เหตุหมดอายุความ จับจำเลย 7 คนไม่ได้
วันที่ 28 ต.ค. 67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลจังหวัดนราธิวาส อ่านคำสั่งคดีหมายเลขแดงที่ อ.1516/2567 ที่นางสาวฟาดีฮะห์ ปะจูกูเล็ง กับพวก รวม 48 คน ยื่นฟ้อง พลเอกพิศาล วัฒนวงษ์คีรี อดีตแม่ทัพภาค 4 กับพวก 9 คน เป็นจำเลยฐานความผิด ฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยทารุณโหดร้าย, พยายามฆ่า, หน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง, ข่มขืนใจ โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ
จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส หรือคดีตากใบซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2547 ที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมจนทำให้มีผู้เสียชีวิตรวม 78 คน
โดยเดิมในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่ามีมูลมีคำสั่งประทับฟ้อง ในส่วนจำเลยที่ 1,3-6 และ 8,9 มีมูลความผิดในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ร่วมกันทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย หน่วงเหนี่ยวกักขังเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 83 มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80,83 มาตรา 310 วรรคสอง ประกอบมาตรา 290, 83 ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
และให้ยกฟ้อง ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือกระทำทารุณโหดร้าย ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือกระทำทารุณโหดร้าย ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้าย จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นรับอันตรายสาหัสโดยกระทำทารุณโหดร้าย และยกฟ้องจำเลยที่ 2 และ 7
...
เดิมศาลออกหมายเรียกจำเลยที่ 1,3-6 และที่ 8,9 มาสอบคำให้การ ตรวจพยานหลักฐาน และกำหนดวันนัดสืบพยานในวันที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา เมื่อถึงวันนัด จำเลยที่ 1,3-6และที่ 8,9 ไม่มา ศาลจึงออกหมายจับ เว้นแต่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ศาลมีหนังสือขออนุญาตจับต่อสภาผู้แทนราษฎร และเลื่อนไปนัดพร้อมเพื่อสอบคำให้การฯ กับติดตามผลการจับและขออนุญาตจับ ในวันที่ 15 ต.ค. 2567
ต่อมาวันที่ 1 ต.ค.2567 ศาลได้รับสำเนาหนังสือของสภาผู้แทนราษฎรลงวันที่ 24 ก.ย.2567 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่มีความคุ้มกันใดๆ ในชั้นพิจารณาของศาล รวมทั้งจากการจับและคุมขังในคดีอาญา ศาลจึงออกหมายจับจำเลยที่ 1 ในวันเดียวกัน ทั้งนี้ ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานตำรวจศาลเป็นผู้มีอำนาจจัดการตามหมายจับควบคู่ไปกับกับพนักงานฝ่ายปกครองและเจ้าพนักงานตำรวจตามปกติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและโอกาสในการติดตามจับกุมจำเลยที่หลบหนี แต่ยังจับตัวไม่ได้ดังกล่าวเช่นเดิม
จนถึงวันนัด วันที่ 15 ต.ค. 2567 ก็ยังไม่สามารถจับกุมจำเลยคนใดได้ ศาลไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาต่อ ต้องเลื่อนคดีไปเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมจำเลยที่หลบหนีมาเสียก่อน แต่ศาลอนุญาตให้ญาติผู้ตายแถลงการณ์ด้วยวาจาเกี่ยวกับคดีนี้ แล้วมีคำสั่งเลื่อนไปนัดพร้อมเพื่อประชุมคดี หรือนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาวันที่ 28 ต.ค.
ในวันนัดวันนี้ ยังคงไม่สามารถจับกุมจำเลยที่ 1, 3-6 และที่ 8, 9 ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดี เนื่องจากคดีขาดอายุความ ทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตาม ป.วิ อ. มาตรา 39 (6)
เหตุที่ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีแทนพิพากษายกฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง เพราะตามบทบัญญัติดังกล่าว เป็นกรณีที่มีปัญหาเรื่องคดีขาดอายุความ ปรากฏต่อศาลในชั้นทำคำพิพากษาและคำสั่ง ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ศาลยกฟ้องโจทก์ปล่อยจำเลยไป แต่คดีนี้ จำเลยที่ 1, 3-6 และที่ 8, 9 ไม่เคยเข้าสู่การพิจารณา แต่หลบหนีจนคดีขาดอายุความ เป็นเหตุให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ทั้ง 48 ระงับ ไม่สามารถดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้ ต้องจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนคดีสำนวนสลายการชุมนุมตากใบอีก 1 สำนวน ที่เมื่อวันที่ 12 ก.ย. อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหา 8 คน ในสำนวนคดีวิสามัญฆาตกรรมโดยสั่งฟ้อง พล.อ.เฉลิมชัย วิรุฬห์เพชร อดีตผู้บัญชาการ พล.ร.5 เป็นจำเลยที่ 1 ส่วนอีก 7 คน เป็นพลขับ ความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นนั้น เนื่องจากคดีนี้ทางพนักงานอัยการโจทก์ยังไม่ได้มีการนำตัว 8 ผู้ต้องหา ยื่นฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดปัตตานี ซึ่งแม้คดีจะหมดอายุความในวันเดียวกัน แต่เนื่องจากตัวผู้ต้องหายังไม่ได้ถูกนำยื่นฟ้องต่อศาล จึงเท่ากับว่า ยังไม่ได้อยู่ในอำนาจศาลที่จะสั่งจำหน่ายคดีได้ วันนี้ศาลปัตตานีจึงยังไม่มีคำสั่งใดๆ ออกมา
ซึ่งหากภายหลัง พนักงานอัยการมีการนำตัวจำเลยทั้ง 8 ยื่นฟ้องต่อศาล ตัวจำเลยก็สามารถต่อสู้เรื่องอายุความ และอัยการไม่มีอำนาจฟ้องจนอันเป็นเหตุให้ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องได้