ตำรวจคุมตัวสอบปากคำแล้ว "หญิง" โพสต์ป่วนห้างที่โคราช แอบอ้างใช้รูปเยาวชน เจ้าตัวให้การรับสารภาพ โดยพบประวัติการรักษาอาการป่วยทางจิต

จากกรณีที่โลกโซเชียลได้มีการแชร์โพสต์ ของมือดีคนหนึ่งที่โพสต์ข่มขู่จะก่อเหตุในห้างที่โคราช ทำให้ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครราชสีมา ได้จัดกำลังตำรวจหลายสิบนาย ทั้งในและนอกเครื่องแบบลงพื้นที่ตรวจสอบรักษาความสงบภายในห้าง พร้อมประสานเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ตรวจหาบุคคลผู้ที่โพสต์ข้อความตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น (มือดีโพสต์ป่วนห้างที่โคราช ตร.คุมสถานการณ์ พบเป็นผู้หญิง นำตัวสอบแล้ว)

ต่อมาได้มีการตรวจสอบเฟซบุ๊กดังกล่าว พบว่าเจ้าของภาพในเฟซบุ๊ก เป็นเยาวชนอยู่ที่อำเภอพิมาย ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พิมาย จึงได้มีการเข้าไปสอบถาม โดยเยาวชนดังกล่าวได้ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้โพสต์ ถูกเอารูปไปแอบอ้าง 

อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวเยาวชนคนดังกล่าว ไปลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.พิมาย ก่อนที่จะยึดโทรศัพท์ไว้เพื่อตรวจสอบ พร้อมกับตรวจสอบหาสารเสพติด ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเยาวชนดังกล่าวนั้นไม่ได้เป็นผู้โพสต์ แต่ถูกเอารูปไปแอบอ้าง และตรวจสอบไม่พบสารเสพติดในร่างกาย

...

ทางด้าน นายวันชัย สุขนา พี่ชายของเยาวชน ยืนยันว่าน้องชายไม่ได้เป็นคนโพสต์ข้อความดังกล่าว แต่ถูกเอารูปไปแอบอ้าง ซึ่งยืนยันว่าหากจับตัวคนโพสต์ตัวจริงได้ จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ขณะเดียวกันทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจังหวัดนครราชสีมา ก็ได้เร่งตรวจสอบหาผู้โพสต์ตัวจริง เพื่อนำมาสอบสวนและดำเนินคดี

ล่าสุด ช่วงเย็นที่ผ่านมา เวลาประมาณ 16.30 น. มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสามารถติดตามตัวผู้ที่โพสต์ป่วนเมืองดังกล่าวได้แล้ว โดยบุคคลที่โพสต์เป็นหญิง อายุประมาณ 30-35 ปี โดยหญิงคนดังกล่าวให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าวจริง จากการตรวจสอบประวัติพบว่าเป็นผู้มีประวัติรักษาอาการป่วยทางจิต ซึ่งขณะนี้ตำรวจได้ควบคุมตัวไปสอบปากคำและหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม.

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการโพสต์ข้อความขู่ดังกล่าวนั้น อาจเข้าข่ายทำผิดกฎหมายมาตรา 384 ประมวลกฎหมายอาญา "ผู้ใดแกล้งบอกเล่าความเท็จ ให้เลื่องลือจนเป็นเหตุให้ประชาชนตื่นตกใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

นอกจากนั้น พฤติกรรมดังกล่าว อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ ปี 2560 มาตรา 14(2) นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ อันอาจก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อีกด้วย.