สตม. รวบชายไต้หวันลอบส่งออกกัญชาข้ามชาติผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ในไทย พร้อมรวบ 3 จีนเทาผู้ร้ายข้ามแดนแปลงสัญชาติเป็นวานูอาตู ทั้งพบเป็นหัวหน้าเครือข่ายพนันออนไลน์ข้ามชาติและเป็นหัวหน้าจัดทำระบบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เงินหมุนเวียน 55,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์เกาหลีใต้ที่มาเช่าห้องพักหรูย่านเอกมัยเป็นฐานปฏิบัติการ

เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รองผบช.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้องรอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐพงษ์ แก้วยอด ผกก.4บก.สส.สตม. และ ว่าที่ พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์ ผกก.1บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวรวบชายไต้หวันลักลอบส่งออกกัญชาข้ามชาติผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ในไทย

พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวว่า ภายหลังได้รับแจ้งจากสายลับมีกลุ่มคนไต้หวันลักลอบนำกัญชาจากไทยส่งออกไปยังไต้หวัน โดยไม่มีการขออนุญาตที่ถูกต้อง ซึ่งจากการสืบสวนพบมีความเชื่อมโยงกับร้านกัญชาแห่งหนึ่ง (ปัจจุบันได้ปิดตัวลงไปแล้ว) ขายกัญชาส่วนช่อดอกผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งพบผู้มีส่วนเกี่ยวข้องคือ Mr.CHANG สัญชาติไต้หวัน อายุ 29 ปี และกลุ่มเพื่อน พักอยู่คอนโดย่านห้วยขวาง เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเพื่อเข้าตรวจสอบ พบผู้ร่วมขบวนการคือ Mr.LIN สัญชาติไต้หวัน อายุ 30 ปี จากการตรวจค้นที่พักยังพบเห็ดขี้ควายบรรจุในซองสุญญากาศ น้ำหนัก 42 กรัม และหนังสือเดินทางของ Mr.CHANG พร้อมชาวไต้หวันคนอื่นอีก 2 เล่ม

...

พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวต่อว่า Mr.LIN ยอมรับว่าบุคคลอื่นในหนังสือเดินทางที่พบได้หลบหนีออกไปก่อนหน้านี้แล้ว และจากการตรวจสอบห้องพักประจำของทั้งสองคน ยังพบกัญชาส่วนของช่อดอก เครื่องชั่งน้ำหนัก ถุงสำหรับแบ่งขาย เครื่องซีนถุง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายรายการ จึงได้ทำการตรวจยึดไว้ และจากการตรวจสอบเพิ่มเติม พบว่าหนังสือเดินทางของ Mr.CHANG ได้ Overstay เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการแจ้งข้อกล่าวหาและจับกุมพร้อมดำเนินคดีในข้อหา มีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดประเภทที่ 5 โดยไม่ได้รับอนุญาต และเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบ Mr.CHANG เป็นบุคคลที่มีประวัติต้องคดีอาญาในข้อหานำเข้าและจำหน่ายกัญชาในไต้หวัน

นอกจากนี้ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. เปิดเผยถึง การรวบ 3 จีนเทา ผู้ร้ายข้ามแดนแปลงสัญชาติเป็นวานูอาตู ทั้งพบเป็นหัวหน้าเครือข่ายพนันออนไลน์ข้ามชาติ และเป็นหัวหน้าจัดทำระบบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เงินหมุนเวียน 55,000 ล้านบาท โดยสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มีหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศส่งคำร้องให้ทางการไทยจับตัว นายซู (นามสมมติ) สัญชาติจีน อายุ 47 ปี เป็นผู้ร้ายข้ามแดน เพื่อไปดำเนินคดีในความผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์สินของรัฐและประชาชน และความผิดฐานเปิดบ่อนการพนัน

จากการสืบสวนพบ นายซู ได้ใช้หนังสือเดินทางประเทศวานูอาตูเข้ามาในประเทศไทยแทนหนังสือเดินทางของประเทศจีน นอกจากนี้ ยังพบ นางจาง (นามสมมติ) และนายซู เจียง (นามสมมติ) ซึ่งเป็นเครือญาติของนายซู ได้ถือหนังสือเดินทางของประเทศวานูอาตูเข้ามาในประเทศไทยด้วย จากการประสานไปยังสถานเอกอัครราชทูตเพื่อตรวจสอบประวัติ ได้รับแจ้งว่าบุคคลทั้งสองมีสัญชาติจีน โดย นางจาง และนายซู เจียง มีประวัติกระทำผิดในข้อหาเปิดบ่อนพนัน ทั้งนี้จากการสืบสวนยังทราบว่าทั้ง 3 คนมักมีพฤติการณ์ย้ายที่อยู่เพื่อให้ยากต่อการจับกุม โดยเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมทั้ง 3 ได้ที่บ้านพักในจังหวัดชลบุรี และจากการเข้าตรวจค้น พบโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก และเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแปลงสัญชาติของทั้ง 2 คนและบุตร โดยเบื้องต้นจากการสอบถามนายซู ให้การยอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับผู้ร้ายข้ามแดนจริง

พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวอีกว่า พฤติการณ์ของนายซูและนางจางนั้น ทั้งสองคนได้มีการจัดตั้งองค์กรชื่อ หญิงฟา ซึ่งจัดให้มีการเล่นเป็นกาสิโนออนไลน์ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมีสมาชิกในการเล่นพนันและเงินหมุนเวียนกว่า 55,000 ล้านบาท ตัวนายซูยังเป็นหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงผู้อื่นทางระบบโทรคมนาคม โดยทำการตั้งระบบเว็บไซต์ และระบบที่เกี่ยวข้องต่างๆ หลังบ้าน มีฐานอยู่ที่ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

พล.ต.ต.พันธนะ เผยด้วยว่า ผลการนำกำลังเข้าตรวจสอบคอนโดมิเนียมกลางกรุง ย่านเอกมัย ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์เกาหลีใต้ที่มาเช่าห้องพักหรูเป็นฐานปฏิบัติการ 

...

ว่าที่ พ.ต.อ.ธวัชชัย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ กองกำกับการ 1 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีชาวเกาหลีใต้มาเช่าห้องภายในอาคารหรูย่านเอกมัย ซอย 3 อ้างว่าเปิดเป็นออฟฟิศเงินดิจิทัล แต่มีพฤติการณ์น่าสงสัยว่าจะเป็นแก๊งการพนันออนไลน์หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เมื่อมาตรวจสอบก็พบว่ามีชาวเกาหลีเข้าออกห้องที่อยู่บนชั้น 4 เป็นประจำ โดยห้องดังกล่าวติดป้ายไว้ที่หน้าห้องว่า “Content Factory Korea & Thai” เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวขอเข้าทำการตรวจค้น

จากการตรวจสอบ พบว่าภายในห้องแบ่งออกเป็น 2 ห้อง ห้องแรกมีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ จำนวน 8 ชุด ส่วนอีกห้องมีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ จำนวน 12 ชุด และพบชายชาวเกาหลีใต้ 8 คน กำลังนั่งทำงานอยู่ในลักษณะของการอ้างตัวเป็นนักวิเคราะห์หุ้น เป็นผู้เชี่ยวชาญโบรกเกอร์ของธนาคารของเกาหลีใต้ ซึ่งจะหลอกลวงให้เหยื่อมาลงทุนผ่านหน้าเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นเลียนแบบเว็บของธนาคารจริง นอกจากนี้ ยังพบโทรศัพท์มือถือ จำนวน 17 เครื่อง และ iPad จำนวน 4 เครื่อง และภายในห้องยังมีกระดานที่เอาไว้เขียนข้อมูลหุ้นแต่ละตัว และข้อมูลว่าต้องพูดกับเหยื่ออย่างไร

จากการสอบถามชาวเกาหลีใต้ทั้ง 8 คน ให้การยอมรับว่า ถูกว่าจ้างให้มาทำงานในประเทศไทย ชักชวนหาลูกค้ามาร่วมลงทุนผ่านเว็บไซต์ดังกล่าว โดยจะได้ค่าจ้างเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ได้จากการที่ลูกค้ามาลงทุน เบื้องต้น ได้จับกุมดำเนินคดีในข้อหาเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน และทำการเพิกถอนวีซ่า ซึ่งจากการประสานกับตำรวจเกาหลีใต้ พบว่าบางคนมีประวัติเคยถูกดำเนินคดีที่เกาหลีใต้ด้วย

...

สำหรับมูลค่าความเสียหาย กำลังอยู่ระหว่างการสืบสวนร่วมกันกับทางการเกาหลีใต้เพื่อตรวจสอบ เพราะชาวเกาหลีใต้ทั้ง 8 คน ยังไม่ยอมให้การในรายละเอียด แต่จากการตรวจสอบรายชื่อในคอมพิวเตอร์ พบว่ามีข้อมูลของเหยื่อกว่า 1 แสนคนต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ 1 ชุด จึงเชื่อว่าน่าจะมีความเสียหายจำนวนมาก สำหรับรายชื่อต่างๆ พบว่านำมาจากตลาดมืด มีข้อมูลครบทั้งชื่อ เบอร์โทร จำนวนเงินลงทุน และความเสี่ยงต่างๆ

สำหรับสถานที่แห่งนี้ พบว่ากลุ่มชาวเกาหลีใต้กลุ่มนี้เพิ่งเข้ามาประเทศไทยผ่านช่องทางสนามบินสุวรรณภูมิ และเพิ่งมีการมาทำสัญญาเช่า เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมี นายจุงฮุน อายุ 26 ปี เป็นหัวหน้าขบวนการ ส่วนคนอื่นๆ ทยอยเดินทางเข้ามา ด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวและมาพักอยู่รวมกันในสถานที่ใกล้เคียงจุดที่จับกุม ซึ่งทุกวันจะมีรถตู้มารับส่งเพื่อมาทำงานที่นี่ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าน่าจะมีกลุ่มขบวนการมากกว่านี้ เพราะมีจำนวนคอมพิวเตอร์เยอะมาก เชื่อว่าขบวนการนี้น่าจะมีฐานปฏิบัติการอยู่ในประเทศอื่นด้วย เพราะพบประวัติกลุ่มผู้ต้องหาว่ามีการเดินทางไปมาในประเทศเพื่อนบ้านด้วย