นศ.หนุ่มวัย 23 ปี เพิ่งจบป.ตรีจากจีนกลับมาเมืองไทยได้ไม่เท่าไหร่ เจอฤทธิ์แก๊งคอลโทร.ลวงอ้างพบพัสดุผิดกฎหมายก่อนให้แอดไลน์วิดีโอคอลกับตำรวจเรียกค่าเคลียร์คดี 5 ล้านบาท ให้ทำตามทุกขั้นตอน เริ่มจากไปซื้อโทรศัพท์และซิมการ์ดใหม่ก่อนให้เดินทางข้ามประเทศไปเปิดโรงแรมที่ปอยเปต นอนอยู่ 3-4 คืน จนถูกตำรวจกัมพูชาเจอตัวก่อนที่ตำรวจไทยจะประสานรับตัวกลับ หลังพ่อแม่แจ้งขอความช่วยเหลือลูกชายหายตัวไปและมีเบอร์ลึกลับจากต่างประเทศเรียกค่าไถ่เป็นเงิน 5 ล้านบาท
หนุ่ม นศ.ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกไปเรียกค่าไถ่ที่กัมพูชาครั้งนี้ เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 15 ส.ค. ที่ บก.น.9 พ่อ-แม่ นศ.หนุ่มวัย 23 ปี เหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ร่วมกันนำกระเช้าดอกไม้มอบให้กับ พล.ต.ต.ประสงค์ อานมณี ผบก.น.9 พ.ต.อ.ฐิติพงษ์ สียา ผกก.สส.บกน.9 และ พ.ต.อ.กฤติเดช จันทร์เพชร ผกก.สน.บางขุนเทียน กรณีช่วยเหลือลูกชายที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกไปเรียกค่าไถ่ที่ประเทศกัมพูชากลับมาได้อย่างปลอดภัย
สืบเนื่องจากเย็นวันที่ 26 ก.ค. พ่อ นศ.หนุ่มวัย 23 ปี เหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.กรวิก สุปะทัด สว.(สอบสวน) สน.บางขุนเทียน ว่าบุตรชาย ได้ไปเรียนที่ประเทศจีนเป็นเวลานาน จนกระทั่งจบปริญญาตรี และกำลังเรียนต่อเพิ่มเติมด้านภาษาและเพิ่งเดินทางกลับจากจีนช่วงปิดเทอมเมื่อต้นเดือน ก.ค. ได้หายออกไปจากบ้านที่ กทม. ตั้งแต่บ่ายวันที่ 25 ก.ค. ขับรถเก๋ง สีดำ ทะเบียนกรุงเทพมหานคร ของพ่อไปด้วย
ต่อมาแม่ นศ.หนุ่มวัย 23 ปี เหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้รับโทรศัพท์จากบุตรชายในบ่ายวันที่ 25 ก.ค. ขอเลื่อนเวลาทานข้าวเย็น จากนั้นไม่สามารถติดต่อได้อีก กระทั่งเวลา 12.30 น. วันที่ 26 ก.ค. มีเบอร์โทรศัพท์จากต่างประเทศโทร.เข้ามาหาแม่ แจ้งว่าเป็นตัวกลางให้มา เก็บเงิน 5 ล้านบาท เนื่องจากบุตรชายไปก่อหนี้สิน ทิ้งเอาไว้ ได้พยายามติดต่อบุตรชายหลายครั้งไม่สามารถติดต่อได้ คาดว่าจะถูกผู้ไม่หวังดีลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่ จึงมาแจ้งความให้ตำรวจช่วยติดตาม
...
หลังทราบเรื่อง พล.ต.ต.ประสงค์ อานมณี ผบก.น.9 สั่งการ พ.ต.อ.ฐิติพงษ์ สียา ผกก.สส.บก.น.9 พ.ต.อ.กฤติเดช จันทร์เพชร ผกก.สน.บางขุนเทียน ร่วมกับ พ.ต.อ.วิชิต ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1 บก.สส.บช.น. พ.ต.ท.พัฒน์พงษ์ กื้อมะโน สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น. สืบหาตัวอย่างเร่งด่วนจนทราบว่า ช่วงบ่ายวันที่ 22 ก.ค. มียอดเงินลึกลับ 86,000 บาท โอนเข้าบัญชีนายวรัชญ์ จากนั้นนายวรัชญ์โอนต่อไปยังบัญชีของ น.ส.กอลีมะ คาดว่าเป็นบัญชีม้า 100,510.96 บาท จนหมดบัญชี และนายวรัชญ์ยังแชตไลน์คุยกับเพื่อนสนิทด้วยว่า “กูคุยอยู่กับตำรวจมีเรื่อง” คาดว่าจะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์
จากการตรวจสอบพบด้วยว่า วันที่ 25 ก.ค.นายวรัชญ์ขับรถไปห้างเซ็นทรัลพระราม 2 เพื่อซื้อโทรศัพท์พร้อมซิมการ์ดใหม่ ขับไปจอดที่ช่องจอดรถตลาดเดอะมิลล์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ในช่องเก็บของหน้ารถพบโทรศัพท์มือถือไอโฟน 1 เครื่อง และซิมกล้องหน้ารถถูกถอดออก นายวรัชญ์ได้เหมารถแท็กซี่ไปด่านพรมแดนบ้านคลองลึก จ.สระแก้ว แล้วข้ามไปเปิดโรงแรมนอนที่ฝั่งกัมพูชาช่วงกลางดึก และย้ายไปอีกโรงแรมที่อยู่ใกล้กันในวันที่ 26 ก.ค. ต่อมาวันที่ 27 ก.ค. คนร้ายได้โทรศัพท์หาพ่อแม่นายวรัชญ์ ให้โอนเงิน 49,999 บาท เข้าบัญชีนายชาญชัย บริบรณ์ คาดเป็นบัญชีม้าหากไม่โอนจะไม่รับรองความปลอดภัยของลูกชาย ทั้งคู่โอนเงินไปตามคำขู่
จนกระทั่งวันที่ 28 ก.ค.ตำรวจสถานีตำรวจปอยเปต ประเทศกัมพูชา ได้ควบคุมตัวนายวรัชญ์ ได้ที่ล็อบบี้โรงแรมที่ 2 ที่นายวรัชญ์ย้ายไปพัก นำตัวไปสอบสวนที่สถานีตำรวจปอยเปต และส่งตัวต่อไปสถานที่กักตัวคนร้ายข้ามชาติที่กรุงพนมเปญ รอสอบสวนตามกระบวนการทางกฎหมายของกัมพูชาจนถึงวันที่ 11 ส.ค. ก่อนที่ พ.ต.อ.ปิยวัฒน์ เกียรติก้อง ผู้ช่วยทูตตำรวจประจำประเทศกัมพูชา ได้รับการประสานจากชุดสืบสวน กก.สส.บก.น.9 ช่วยเหลือนำตัวกลับประเทศไทยได้อย่างปลอดภัยตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 ส.ค.ที่ผ่านมา
จากการสอบสวนนายวรัชญ์ให้การว่า เพิ่งกลับจากจีนเมื่อต้นเดือน ก.ค.ได้ 3-4 วัน มีโทรศัพท์จากชายลึกลับอ้างเป็นพนักงานไปรษณีย์ จ.ภูเก็ต บอกว่าตรวจพบสิ่งผิดกฎหมายร้ายแรงในกล่องพัสดุ ในกล่องมีหน้าพาสปอร์ตกว่า 10 เล่ม 1 ในนั้นมีของตนและสมุดบัญชีชื่อตนมียอดเงินหมุนเวียนหลายล้าน ก่อนจะส่งโทรศัพท์ให้ชายที่อ้างเป็นตำรวจคุย และแอดไลน์วิดีโอคอลคุยกัน ตนหลงเชื่อเพราะมีหน้าพาสปอร์ตและสมุดบัญชีธนาคารตน ชายที่อ้างเป็นตำรวจเรียกค่าเคลียร์คดี 5 ล้านบาท ให้ทำตามขั้นตอนที่คนร้ายบอกกระทั่งเดินทางไปประเทศกัมพูชา แต่ก็ยังไม่เจอตัวแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ไม่มีใครมาคุมตัว โชคดีที่เจอตำรวจกัมพูชาเสียก่อน ตนใช้ชีวิตอยู่ประเทศไทยน้อยมากไม่รู้ว่ามีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่จีนไม่มีแบบนี้ เพราะกฎหมายรุนแรง หากจับแก๊งพวกนี้ได้อาจถูกประหารชีวิต
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่