ตำรวจ ปอท.จับเพิ่มอีก 1 แอดมินแก๊งคอลฯ ปลอมเว็บไซต์รับแจ้งความ สวมรอยตำรวจ-หลอกเงินเหยื่อ เค้นสอบยังปากแข็ง เล่าเป็นตุเป็นตะ อ้างถูกบังคับให้ทำ

เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 67 พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท. สั่งการ พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.2 บก.ปอท. นำกำลังจับกุม นายพงษ์ศิริ โพธิ์จักร อายุ 36 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 4053/2566 13 พ.ย. 2566 ข้อหา "ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันทุจริตหรือหลอกลวง โดยนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ, มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, สมคบฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน" โดยจับกุมได้ที่ บก.ปอท. กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ขณะผู้ต้องหาเดินทางมามอบตัว 

การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจาก เมื่อกลางปี 2566 ได้ตรวจสอบพบเว็บไซต์แจ้งความออนไลน์ปลอม โดยมีการเลียนแบบเว็บไซต์ แอบอ้างชื่อและใช้ตราสัญญาลักษณ์ของตำรวจสอบสวนกลาง รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ ในสังกัด นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าว ได้ใช้วิธียิงแอดโฆษณาผ่านเว็บไซต์สืบค้นข้อมูล (Google Ads) เมื่อมีประชาชนค้นหาคำว่า "แจ้งความออนไลน์" เว็บไซต์ปลอมจะแสดงขึ้นมาเป็นลำดับแรกๆ จนทำให้มีผู้หลงเชื่อเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเว็บไซต์จริงจำนวนมาก เมื่อมีผู้หลงเชื่อ มิจฉาชีพกลุ่มนี้จะทำทีสวมรอยเป็นแอดมิน พูดคุยสอบถามข้อมูลเบื้องต้น จากนั้นจะให้ผู้เสียหายติดต่อพูดคุยกับบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นทนายความ ผ่านแอปพลิเคชันไลน์ โดยจะให้คำปรึกษา ชี้แนะ ให้ผู้เสียหายส่งหลักฐานเรื่องที่ต้องการแจ้งความไปให้

จากนั้น ทนายความปลอมจะส่งเรื่องต่อไปยังฝ่ายไอที อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แจ้งกับผู้เสียหายว่าเงินที่ผู้เสียหายถูกโกงไปนั้น ถูกนำไปฟอกในแพลตฟอร์มการพนันออนไลน์ต่างประเทศ ก่อนอ้างว่าสามารถนำเงินมาคืนผู้เสียหายได้ โดยใช้วิธีการแฮ็กเว็บการพนันดังกล่าว เพื่อหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินให้ แล้วเชิดเงินทั้งหมดหนีไป ที่ผ่านมามีผู้หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อมากกว่า 1,000 ราย สูญเงินรวมกว่า 8 ล้านบาท

...

หลังทราบเรื่องตำรวจสอบสวนกลาง ได้เร่งจัดกำลังลงพื้นที่สืบหาเบาะแสมิจฉาชีพกลุ่มนี้ จนนำมาสู่การเปิดปฏิบัติการนำกำลังเข้าตรวจค้น 8 จุด ในพื้นที่ กทม., จ.นนทบุรี, จ.สมุทรสาคร, จ.เชียงราย และ จ.สุราษฎร์ธานี จับกุมผู้ต้องหาได้ 4 ราย พร้อมทั้งตรวจยึดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 50 ล้านบาท เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้แม้จะมีการจับผู้กระทำผิดได้แล้ว 4 ราย แต่เจ้าหน้าที่ยังคงสืบสวนขยายผลต่อเนื่อง เพื่อล้างบางมิจฉาชีพกลุ่มดังกล่าวให้หมดไป ต่อมาได้สืบทราบว่า นายพงษ์ศิริ เป็นหนึ่งในผู้ร่วมขบวนการ ทำหน้าที่เปิดบัญชีม้า รวมถึงเป็นแอดมินพูดคุยหลอกลวงผู้เสียหายอยู่ที่ประเทศกัมพูชา ได้เดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทย ผ่านทางช่องทางธรรมชาติ ก่อนหลบไปอยู่ที่บ้านญาติในพื้นที่ จ.ชลบุรี จึงจัดกำลังลงพื้นที่กดดันอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งผู้ต้องหาทนแรงกดดันไม่ไหว ตัดสินใจเข้ามามอบตัว จึงนำกำลังดักจับกุมตัวได้ดังกล่าว

จากการสอบสวน นายพงษ์ศิริ ให้การปฏิเสธ อ้างว่าไม่ได้ตั้งใจหลอกลวงเงินเหยื่อ แต่ยอมรับว่าก่อนหน้านี้ได้หางานทำในฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ต่อมาได้พบข้อความประกาศชักชวนทำงานผ่านเฟซบุ๊ก จึงเกิดความสนใจ ทักแชตไปพูดคุยและตกลงจะไปทำงาน โดยมีการนัดหมายว่าจะมีคนมารับบริเวณจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว

แต่เมื่อเดินทางไปถึงกลับถูกชายชาวกัมพูชา นำตัวไปกักขังแล้วบังคับให้เปิดบัญชีธนาคารเพื่อนำไปใช้รับโอนเงินที่ได้มาจากการหลอกลวงเหยื่อ รวมถึงบังคับให้ทำงานเป็นแอดมินชักชวนผู้คนมาร่วมลงทุนธุรกิจต่างๆ เพื่อหลอกลวงเงินจากเหยื่อ โดยจะได้ค่าจ้างเดือนละ 18,000 บาท แต่ทำงานได้เพียงแค่ 2 เดือน ก็ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวขายต่อให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มอื่นๆ ก่อนจะถูกปล่อยลอยแพ จากนั้นจึงไปสมัครขอทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์อีกกลุ่มหนึ่ง กระทั่งต่อมาเกิดป่วยหนัก จึงตัดสินใจเดินทางกลับไทย และมาถูกจับกุมดังกล่าว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ต้องหา ส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอท. ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป