สองแม่ลูกเจ้าของธุรกิจเคมีภัณฑ์ซดสารโซเดียมไนไตรท์ดับคาห้องนอน หลังแม่ป่วยเป็นโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ส่วนลูกสาวป่วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง ขับรถออกจากกรุงเทพฯมาพักบ้านต่างอากาศ แต่งชุดดำอำลาชีวิตพร้อมเขียนจดหมายสั่งลาซดสารพิษดับคู่ ขณะที่ตำรวจเก็บหลักฐานไม่พบร่องรอยการต่อสู้ คาดผู้ตายเครียดโรครุมเร้า
เหตุสองแม่ลูกเครียดซดสารพิษฆ่าตัวตายหนีโรคร้าย เปิดเผยเมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 19 ก.ค.พ.ต.ท.ญัฐติพงษ์ เจียมพวก สว.(สอบสวน) สภ.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี รับแจ้งเหตุพบผู้เสียชีวิต 2 ราย ภายในซอยพัฒนาการ 2 หมู่ 6 ต.นาเกลือ ไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.ทวี กุดแถลง ผกก.สภ.หนองปรือ ตำรวจฝ่ายสืบสวน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน แพทย์ และอาสาหน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างบริบูรณ์ธรรมสถานเมืองพัทยา
ที่เกิดเหตุเป็นบ้านพักต่างอากาศหรูมีเนื้อที่ 60 ตารางวา บริเวณโรงจอดรถหน้าบ้านพบรถเบนซ์ ซี 200 สีบรอนซ์-เทา จอดอยู่ 1 คัน ภายในห้องนอนพบศพผู้เสียชีวิต 2 ราย ทั้งคู่เป็นแม่ลูกกัน สภาพนอนเสียชีวิตอยู่บนเตียง ร่างผู้เป็นแม่นอนอยู่ฝั่งด้านซ้ายกอดลูกสาวที่นอนอยู่ทางฝั่งด้านขวา ทั้งคู่มีผ้าห่มคลุมร่างสวมใส่ชุดดำ ริมฝีปากและหน้าเขียว ปลายเล็บดำ เสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 24 ชม. ที่โต๊ะในห้องนอนพบแก้วน้ำ 2 ใบ ใกล้กันพบกระปุกสารโซเดียมไนไตรท์จำนวน 1 กระปุก สารถูกใช้ไปแล้วครึ่งกระปุก
เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภายในบ้านไม่พบร่องรอยการต่อสู้หรือรื้อค้นทรัพย์สิน พบจดหมายลาตายจำนวน 2 ฉบับ ฉบับแรกเขียนด้วยลายมือเต็มหน้ากระดาษ เอ 4 จับใจความได้ว่า “ดิฉันป่วยเป็นโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้าย และลุกลามไปทั่วร่างกาย ต้องอยู่แบบทุกข์ทรมาน และสงสารลูกที่ต้องคอยมาดูแล และการกระทำในครั้งนี้เป็นการตัดสินใจร่วมกันระหว่างลูกสาว โดยไม่มีใครบังคับขู่เข็ญ ลงชื่อผู้เป็นแม่”
...
ส่วนฉบับที่ 2 ระบุว่า “เมื่อแม่ตัดสินใจว่าจะไป จึงตัดสินใจว่าจะไปด้วย ไม่สามารถจินตนาการชีวิตที่ไม่มีแม่ได้ และไม่ประสงค์ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ถ้าไม่มีแม่อยู่ด้วย ในเรื่องนี้ไตร่ตรองดีแล้วไม่ใช่การตัดสินใจชั่ววูบ รู้ซึ้งในสภาพร่างกายและหัวใจของตัวเอง ขอให้เคารพการตัดสินใจ ขอโทษจากใจจริงถ้าการตัดสินใจและการกระทำนี้จะส่งผลกระทบกับใคร และเสียใจมากๆ ที่ไม่สามารถอยู่ดูแลพ่อจนวันสุดท้ายของพ่อได้ แต่ขอยืนยันว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาได้ทำทุกๆ อย่างให้ทุกๆคนอย่างเต็มความสามารถและศักยภาพของตัวเอง ขอบคุณสำหรับทุกๆ สิ่ง ลงชื่อลูก” ตำรวจเก็บไว้เป็นหลักฐาน
สอบสวนสามีและพ่อผู้เสียชีวิต ทราบว่า ตนและครอบครัวทำธุรกิจเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษทรายและวัสดุก่อสร้าง เมียป่วยเป็นโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ส่วนลูกสาวป่วยเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือโรคพุ่มพวง เมื่อวันที่ 14 ก.ค.ทั้งคู่ขับรถเบนซ์ออกจากบ้านที่กรุงเทพฯ เพื่อมาพักรักษาตัวที่บ้านหลังดังกล่าว ต่อมาวันที่ 18 ก.ค.ติดต่อทั้งคู่ไม่ได้ ผิดสังเกตขับรถจากกรุงเทพฯ เพื่อมาดูลูกกับภรรยา เมื่อเปิดประตูเข้าไปในบ้านถึงกับช็อก เมื่อพบศพทั้งคู่นอนเสียชีวิตอยู่คู่กันบนเตียงพร้อมกับจดหมายลาตาย รีบขับรถไปแจ้งตำรวจที่โรงพัก สภ.หนองปรือ เพื่อมาตรวจสอบ
ส่วนชาวบ้านในละแวกจุดเกิดเหตุเปิดเผยว่า เห็นสองแม่ลูกมาพักอาศัยประมาณ 4-5 วัน ระหว่างที่เห็นทั้งคู่มีอาการปกติ ไม่มีอะไรน่าสงสัย แต่ที่น่าแปลกใจพบว่า สองแม่ลูกจะใส่ชุดดำตลอดเวลา กระทั่งไม่เห็นทั้ง 2 คน มาประมาณ 2 วัน พอมาทราบข่าวว่าเสียชีวิตทั้งคู่รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
ด้าน พ.ต.อ.ทวี กุดแถลง ผกก.สภ.หนองปรือ กล่าวว่า ตำรวจตรวจสอบในที่เกิดเหตุอย่างละเอียดเบื้องต้นพบผู้เสียชีวิต 2 ราย อยู่ภายในห้องนอน ทั้งคู่ดื่มสารเคมีชื่อโซเดียมไนไตรท์จนทำให้เสียชีวิต อีกทั้งยังพบหลักฐานเป็นจดหมายลาตายเขียนขึ้นในลักษณะสั่งเสียและสาเหตุของการฆ่าตัวตายในครั้งนี้ ปมเหตุมาจากปัญหาสุขภาพของทั้งคู่ ก่อนที่จะตัดสินใจร่วมกันดื่มสารเคมีเข้าไปพร้อมกันคนละ 1 แก้ว ตรวจสอบประวัติผู้ตายพบว่า เป็นภรรยาและลูกสาวของเจ้าของธุรกิจเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษทรายและวัสดุก่อสร้าง ส่วนลูกสาวมีดีกรีเป็นนักเรียนนอก อย่างไรก็ตาม ตำรวจส่งศพไปชันสูตรที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อสรุปสาเหตุของการเสียชีวิตต่อไป
สำหรับสารโซเดียมไนไตรท์ (Sodium nitrite) มีสูตรทางเคมีว่า NO2 เป็นสารประกอบประเภทอนินทรีย์ มีลักษณะเป็นผงผลึกสีขาวออกเหลืองเล็กน้อย สามารถละลายน้ำได้ดี มีคุณสมบัติป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันที่ทำให้อาหารเกิดการเน่าเสีย และช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์จำพวกคลอสตริเดียมบอทูลินั่ม (Clostridium botulinum) และคลอสตริเดียมเปอร์ฟรินเจน (Clostridium perfringens) หรือเรียกกันว่าสารกันบูด มักจะอยู่ในอาหารแปรรูปจำพวกเนื้อสัตว์ เช่น ไส้กรอก แหนม และหมูยอ นอกจากนี้ ยังทำให้เนื้อสัตว์แปรรูปมีสีแดงอมชมพูน่ารับประทานยิ่งขึ้น สารโซเดียมไนไตรท์มีผลออกฤทธิ์และมีผลข้างเคียงคล้ายกับยาไซยาไนด์ จะทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะเกิดสภาวะความดันต่ำ ทำให้เลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง เกิดสภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันจนเสียชีวิต
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่