พฐ.แถลงพบไซยาไนด์ในแก้วชา กาโลหะ และถุงชาในห้องเกิดเหตุ เชื่อเป็นสารพิษที่ทั้ง 6 คนกินเข้าไปจนเสียชีวิต สอดคล้องกับผลนิติเวช รพ.จุฬาลงกรณ์ เบื้องต้น อวัยวะภายในพบการคั่งเลือดปริมาณมาก ประเมินระยะเวลาการเสียชีวิตประมาณ 12-24 ชม. ผ่าแยกร่างพบทั้ง 6 รายมีร่องรอยขาดอากาศ ริมฝีปากสีม่วงเข้ม ปลายเล็บมือสีม่วง อวัยวะมีสีแดงสด สันนิษฐานเบื้องต้นทุกรายเสียชีวิตจากสารไซยาไนด์ ชุดสืบสวนเต้นเร่งสืบหาที่มาของสารพิษ ยังไม่รู้ว่าวางแผนพกเข้าประเทศมาเองหรือซื้อในไทย เพราะสนามบินไม่สามารถตรวจสอบได้ ส่วนปมเหตุพบ 2 ผัวเมียชาวเวียดนามสัญชาติอเมริกัน ชักชวนกลุ่มผู้ตายไปลงทุนสร้างโรงพยาบาลที่ประเทศญี่ปุ่น รายเดียวโอนเงินไปให้ถึง 10 ล้านบาท แต่หลังจากเวลาผ่านไปนานไม่มีอะไรคืบหน้าถูกตามทวงเงินคืนต่อเนื่อง สงสัยวางยานักลงทุนทั้งหมดเพราะเครียด ก่อนกินยาฆ่าตัวตายตาม แถมพบประวัติต้มตุ๋นที่อเมริกาแต่อัยการสั่งไม่ฟ้องเลยไม่มีประวัติ รัฐบาลตั้งแต่ “นายกฯเศรษฐา” ไปจนถึง “รมต.” ประสานเสียงไม่กระทบการท่องเที่ยว เป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวก่อการร้าย เอฟบีไอส่งเจ้าหน้าที่ประสานข้อมูลร่วมตรวจสอบเหตุที่เกิดขึ้นด้วย

กรณีพบการสังหารหมู่ 6 ศพในห้อง 502 ชั้น 5 โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ เบื้องต้นเป็นชาวเวียดนามทั้งหมด แบ่งเป็นชาย 3 คนและผู้หญิง 3 คน แต่ 2 คนได้สัญชาติอเมริกันแล้ว ในห้องพบจานอาหารที่ยังไม่ได้กิน และถ้วยชากาแฟที่กินเหลืออยู่ เจ้าหน้าที่ พฐ.เก็บไปตรวจสารพิษ ส่วนแพทย์นิติเวช รพ.จุฬาลงกรณ์ ตรวจตามร่างกายไม่พบบาดแผลถูกทำร้าย แต่ริมฝีปากเป็นสีดำทุกคน เชื่อว่าเสียชีวิตจากการถูกวางยาพิษ ส่งภาควิชานิติเวชศาสตร์ รพ.จุฬาลงกรณ์พิสูจน์ศพ ด้านตำรวจชั้นผู้ใหญ่ไปจนถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี รีบเข้าไปดูที่เกิดเหตุ เพราะเป็นเหตุอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นในโรงแรมหรูกลางใจกรุง เกรงว่าจะเสียหายต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยว ชุดสืบสวนนครบาลหลายหน่วยแห่ลงมาสืบสวนคลี่คลายคดีว่า ผู้ก่อเหตุคือใคร และสาเหตุเกิดจากอะไร

...

“อนุทิน” ดูที่เกิดเหตุ 6 ศพ

ความคืบหน้าเมื่อเวลา 22.30 น.วันที่ 16 ก.ค. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย เดินทางมายังที่เกิดเหตุห้อง 502 โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ ต่อมาเผยว่า รับฟังสรุปจาก ผบช.น.แต่ยังไม่เป็นทางการ ต้องรอทางตำรวจแถลง ถามว่านายกรัฐมนตรีกำชับอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ท่านเป็นห่วงและมาก่อนหน้านี้แล้ว เรื่องการชันสูตรพลิกศพหรือพิสูจน์หลักฐานต่างๆต้องรอตามขั้นตอนเพราะเหตุเพิ่งเกิด เรื่องนี้เป็นเหตุสะเทือนขวัญต้องรอให้ข้อมูลนิ่งก่อน เรื่องนี้นอกเหนือการควบคุม ไม่ใช่เรื่องการทะเลาะวิวาท หรือการฆาตกรรมด้วยเหตุความขัดแย้งกัน สรุปสั้นๆคือ วินาทีนี้ดูเหมือนเป็นการทำร้ายตัวเอง แต่รอการแถลงดีกว่า

ยันไม่เกี่ยวก่อการร้าย

ถามว่าเรื่องนี้ทำภาพลักษณ์ประเทศไทยเสียหายหรือไม่ นายอนุทินตอบว่า เรื่องนี้ประเทศไทยไม่มีอะไรเสียหาย ผู้เสียชีวิตเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา ไม่ได้ถูกคนไทยทำร้าย เราต้องแยกแยะอย่าด่วนสรุป ประเทศเรากำลังมาดีๆ นักท่องเที่ยวกำลังเข้ามาสร้างรายได้มหาศาล อย่าเพิ่งด่วนสรุป ผู้เสียชีวิตเป็นคนแวดวงเดียวกัน มาด้วยกัน อยู่ในห้องเดียวกัน ดูแล้วไม่มีใครเข้าไปลอบทำร้ายหรือใช้อาวุธ เขาคงมีภารกิจของเขาบางอย่าง ตรงนี้ต้องรอการพิสูจน์ เชื่อว่าเมื่อร่างถูกส่งชันสูตรแล้ว ความจริงหลายอย่างจะปรากฏ ที่มาวันนี้เพราะตนอยู่ในพื้นที่พอดี มาตรวจสอบว่ามีอะไรกระทบเรื่องท่องเที่ยว หรือมีขบวนการก่อการร้ายหรือไม่ แต่เบื้องต้นไม่ใช่ อยู่ภายใต้การควบคุม

พฐ.เร่งตรวจหาหลักฐาน

ที่ บช.สพฐ. พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.กล่าวว่า ต้องตรวจสอบหลักฐานทุกอย่างว่าเป็นสารพิษประเภทใด เท่าที่ดูหากผสมกับเครื่องดื่มจะส่งผลกับร่างกายมนุษย์อย่างรวดเร็ว แต่ต้องตรวจว่าเกิดจากพิษหรือไม่ แต่จากที่ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลยืนยัน ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ สภาพศพไม่มีการทำร้ายหรือขนย้ายทรัพย์สิน และอาหารที่อยู่บนโต๊ะเหมือนเดิม แกะพลาสติกที่แลปไว้เพียงบางจานเท่านั้น ก่อนสั่งอาหารอาจดื่มชาก่อน เพราะอาหารไม่มีใครแตะต้อง แต่ดื่มเครื่องดื่มไปแล้ว ทุกแก้วมีร่องรอยการดื่มจนหมดทุกแก้ว แต่ไม่มีแก้วใบที่เจ็ด สำหรับเหตุผลที่ดื่มชาทั้ง 6 แก้วหมด เราไม่ทราบ มี 5 แก้ววางอยู่บนโต๊ะเตรียมเครื่องดื่ม ส่วนอีกแก้วอยู่บนโต๊ะอาหาร

เน้นหาสารพิษในภาชนะ

ถามว่า จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุมีแนวโน้มเป็นไปได้มากแค่ไหนว่า ผู้ก่อเหตุเป็น 1 ใน 6 ผู้เสียชีวิต พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวว่า เรื่องนี้ยังตรวจสอบไม่ได้เพราะเป็นเรื่องของฝ่ายสอบสวน เราเป็นฝ่ายพิสูจน์หลักฐานจะตรวจสอบหลักฐานต่างๆ เช่น อาหาร เครื่องดื่ม และสิ่งที่เหลืออยู่ ต้องเก็บไปตรวจว่ามีพิษหรือไม่ สำหรับการจำลองเหตุการณ์เป็นเรื่องการสอบสวน ขณะที่ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานจะทำแผนที่เกิดเหตุทุกอย่างมอบให้ฝ่ายสืบสวนต่อไป

วงจรปิดยันไม่มีคนอื่นเข้าออกห้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชุดสืบสวนตรวจสอบกล้องวงจรปิดหน้าห้อง 502 วันที่ 15 ก.ค. ช่วงเวลาตั้งแต่ 14.09-14.17 น. บันทึกภาพเหตุการณ์ผู้เสียชีวิตทั้ง 6 คนทยอยลากกระเป๋าเดินทางเข้าออกห้องพัก 502 หลายครั้งเหมือนเอากระเป๋าเดินทางไปรวมกันเตรียมเช็กเอาต์ จนภาพสุดท้ายเห็นทั้ง 6 คนเข้าไปในห้องดังกล่าว แล้วไม่มีใครกลับออกจากห้องอีกเลย รวมทั้งไม่มีคนอื่นเข้าไปที่ห้องหรือออกมาเพิ่มเติมด้วย

...

เชิญญาติสอบ-ตรวจกระเป๋าเดินทาง

ต่อมาเวลา 01.00 น. วันที่ 17 ก.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจนำวัตถุพยานและกระเป๋าเดินทางผู้เสียชีวิตทั้ง 6 คน ออกจากห้องเกิดเหตุไปยังห้องประชุมชั้น 2 สน.ลุมพินี โดยมี พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สน.ลุมพินี และคณะพนักงานสอบสวนเข้าประชุมทันที ไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปสังเกตการณ์ มีรายงานว่า ในห้องประชุมมีพยาน 5 คนที่ตำรวจเชิญตัวมาสอบปากคำ ในจำนวนนี้มีญาติผู้เสียชีวิตรวมอยู่ด้วย เบื้องต้นให้ระบุกระเป๋าเดินทางใบไหนเป็นของใคร ก่อนเปิดกระเป๋าเดินทางตรวจสอบสิ่งของภายในต่อหน้าพยาน ใช้เวลาสอบปากคำตลอดทั้งคืน โดยมี พล.ต.ต.วิทวัฒน์ ชินคำ ผบก.น.5 และ พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สน.ลุมพินี เป็นผู้สอบปากคำด้วยตัวเอง

เลขาฯทูตเวียตนามร่วมฟังด้วย

ต่อมาเวลา 03.10 น. หลังสอบปากคำพยานทั้ง 5 ปากนานกว่า 2 ชม. พล.ต.ต.วิทวัฒน์เผยว่า พยานทั้ง 5 ปากที่เชิญตัวมาสอบปากคำ มีทั้งเลขานุการเอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศไทย และเพื่อนน้องสาวผู้เสียชีวิตที่พักอาศัยอยู่ในประเทศไทย พอทราบข่าวตำรวจจึงเชิญตัวมาให้ข้อมูลและช่วยแปลภาษาจากเอกสารต่างๆที่อยู่ในกระเป๋าเดินทางของผู้เสียชีวิต จากการตรวจค้นกระเป๋าผู้เสียชีวิต มีลักษณะพร้อมเช็กเอาต์ออกจากโรงแรม พบยาชนิดเม็ดรักษาโรคทั่วไป แต่ต้องส่งไปให้ พฐ.ตรวจสอบเทียบเคียงลักษณะยากับที่พบในจุดเกิดเหตุว่าเป็นชนิดเดียวกันหรือไม่ ส่วนศพผู้เสียชีวิตทั้ง 6 ศพส่งพิสูจน์ที่ภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงว่าเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมหรือไม่

“หมอหมู” ชี้น่าจะไซยาไนด์

ศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี หรือ “หมอหมู” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ให้สัมภาษณ์ว่า กรณีนี้อาจเป็นไปได้ว่าถูกวางยา ส่วนเป็นยาอะไรทำให้เสียชีวิตพร้อมกัน ช่วงเวลาใกล้เคียงกันตอบยาก แต่มีอยู่ 3 ชนิดที่นิยมใช้ทั่วโลกแม้แต่ในไทย ตัวแรก ไซยาไนด์ ตัวที่ 2 สารหนู และตัวที่ 3 สติกนิล หากเป็นสารไซยาไนด์เวลาได้รับจะมีอาการในเวลาไม่กี่นาที เสียชีวิตเร็วมากในเวลาเพียง 10 นาที หากเป็นสารสติกนิลใช้เวลา 15-30 นาที ถ้าเป็นสารหนูใช้เวลา 30-40 นาทีถึงจะมีอาการ ดังนั้น การเสียชีวิตจากสารทั้ง 3 ตัวต้องใช้การสังเกต เช่น คนได้รับสารไซยาไนด์จะมีผิวสีชมพูหรือสีแดง การที่ทุกศพสภาพผิวเหมือนกันเป็นไปได้ว่ารับไซยาไนด์ ถ้าเป็นสารหนูจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และถ่ายท้อง หากเป็นสารสติกนิลต้องดิ้นทุรนทุรายหรือชักเกร็ง ต้องดูจากสถานที่เกิดเหตุถึงจะบ่งบอกได้ต้องรอการพิสูจน์เครื่องดื่มชาหรือกาแฟในภาชนะสเตนเลส

...

ใบหน้า-ปาก-เล็บเหยื่อมีสีคล้ำ

ศ.นพ.วีระศักดิ์กล่าวอีกว่า สำหรับสารทั้ง 3 ชนิด หากใครได้รับเข้าไปจะทำให้ใบหน้า ผม เล็บมือเขียวช้ำ หากได้รับในปริมาณมากทำให้หัวใจวายเฉียบพลัน แล้วจะทำให้ใบหน้าคล้ำ เล็บคล้ำ ปากคล้ำ กรณีทั้ง 6 รายนี้มีการเสียชีวิตมาเกินกว่า 24 ชม.ตามที่มีข้อมูล ตำรวจเชื่อว่าเริ่มจะเน่าบางส่วน ฉะนั้นมีความเป็นไปได้ที่เลือดจะออกมาตามปาก ริมฝีปากและจมูก แต่ถ้าถามว่าเป็นเลือดออกจากการเน่าหรือไม่ วิธีการพิสูจน์ง่ายๆคือส่งศพผ่าชันสูตร หากเลือดออกจากปากถ้าไม่มีแผลแสดงว่าเป็นเลือดจากการเน่า แต่ถ้ามีเลือดออกทางจมูกไม่มีแผลที่จมูก ไม่มีเลือดออกจากทางเดินหายใจ แสดงว่าเกิดจากกระบวนการเน่า

นายกฯยันไม่กระทบท่องเที่ยว

ที่อาคารรัฐสภา เมื่อเวลา 08.40 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เผยว่า สาเหตุยังต้องรอหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นกองพิสูจน์หลักฐานตำรวจ หรือโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ที่ผ่าพิสูจน์ศพ แต่สันนิษฐานเบื้องต้นเป็นเรื่องภายใน ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องปล้นทรัพย์ หรือเกี่ยวข้องความมั่นคงของเรา ถามว่าเรื่องนี้ไม่กระทบการท่องเที่ยวใช่หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ไม่เกี่ยว ถามว่านายกฯพูดคุยกับเอกอัครราชทูตเวียดนามแล้ว นายเศรษฐา กล่าวว่า ใช่ครับ เพราะท่านมาก็ได้พูดคุยกัน อันนี้เป็นเหตุผลหลักที่เดินทางไป ให้ความมั่นใจว่าเราให้ความเป็นธรรมทุกอย่าง เขาจะได้รายงานให้ญาติพี่น้องของเขาทราบ ไม่อยากให้พี่น้องกังวลจะได้เคลียร์ไปทีละเปลาะ

...

เอฟบีไอมาเพราะมีสัญชาติอเมริกัน

ถามว่าเห็นสำนักงานสอบสวนและสืบสวนของตำรวจสหรัฐอเมริกา (FBI) ลงไปในพื้นที่ด้วย ตรงนี้เขาห่วงเรื่องอะไร นายกฯกล่าวว่า เป็นธรรมดา เพราะมีคนสัญชาติอเมริกัน 2 คนเป็นคนเวียดนาม ถามว่า เห็นว่าวันเดียวกันนี้จะมีการประชุมรัฐมนตรีพลังงานของรัสเซียที่โรงแรมที่เกิดเหตุ ต้องเปลี่ยนสถานที่หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ไม่น่า เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกับความหละหลวมด้านการรักษาความปลอดภัย และคิดว่าทุกอย่างดำเนินการตามปกติ

คนที่ 7 น้องสาวคนตายไม่เกี่ยวคดี

ที่ สน.ลุมพินี เมื่อเวลา 10.00 น. พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. พล.ต.ต.วาที อัศวุตมางกุร ผบก.พฐก. และ พล.ต.ต.วิทวัฒน์ ชินคำ ผบก.น.5 พร้อมชุดสืบสวน ประชุมติดตามความคืบหน้าคดี หลังประชุมกว่า 1 ชม.

พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวว่า ที่มีข้อสงสัยว่าบุคคลที่ 7 ที่จองโรงแรมล่วงหน้าแต่ไม่ได้เข้าพัก ตรวจสอบเป็นน้องสาวของ 1 ในผู้เสียชีวิต เข้าไทยพร้อมกันวันที่ 4 ก.ค. แต่เดินทางกลับไปเมืองดานัง ประเทศเวียดนาม ตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค. ยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

นาทีแม่บ้านพบศพ

“ตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่เกิดเหตุพบว่าผู้เสียชีวิตมาเช็กอินที่โรงแรมด้วยตัวเอง เข้าพักตามห้อง ไม่มีผู้ใดแปลกปลอมเข้าพักร่วมด้วย เวลา 16.30 น. วันที่ 16 ก.ค. พนักงานโรงแรมเข้าไปตรวจสอบห้อง 502 เนื่องจากเลยเวลาเช็กเอาต์ แต่พบว่าห้องล็อกจากด้านใน ก้มมองรอดช่องประตูเห็นคนนอนอยู่ที่พื้นคิดว่าคงช็อกหมดสติจะเอาอุปกรณ์ฉุกเฉินเข้าไปช่วย จึงให้ รปภ.ปีนเข้าไปทางหลังห้องที่ไม่ได้ล็อกประตู ถึงพบ 6 ศพดังกล่าว” รอง ผบช.น.กล่าว

ผู้ตายไม่เกี่ยวองค์กรอาชญากรรม

พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวต่อว่า ผลการตรวจสารพิษเบื้องต้นพบว่า ในกาใส่ชาและแก้วน้ำชาทั้ง 6 ใบมีสารไซยาไนด์ เชื่อว่า 1 ใน 6 ผู้เสียชีวิตเป็นผู้ลงมือก่อเหตุ ส่วนนำเข้าหรือซื้อในประเทศไทยอยู่ระหว่างตรวจสอบ ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลชันสูตรพลิกศพอย่างละเอียดจากนิติเวช โรงพยาบาลจุฬาฯ รวมถึงผลพิสูจน์หลักฐานในที่เกิดเหตุ ลายนิ้วมือ และดีเอ็นเอ คาดว่าจะทราบผลช่วงบ่ายนี้ นอกจากนี้ ยังประสานสถานทูตสหรัฐอเมริกา สถานทูตเวียดนาม ฝ่ายความมั่นคงของเวียดนาม และเอฟบีไอ ตรวจสอบข้อมูลผู้เสียชีวิตทั้ง 6 คน ยังไม่พบใครมีหมายแดงติดตัว เพราะฉะนั้นคดีนี้ถือเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับแก๊งหรือองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติใดๆ

ปมเบี้ยวเงินลงทุนสร้าง รพ.ในญี่ปุ่น

รอง ผบช.น.กล่าวต่อว่า สอบถามข้อมูลญาติผู้ตายทราบว่า น.ส.ดิ เหวียน เฟือง อายุ 46 ปี และนายฮอง ฟ่าม ถัั่น อายุ 49 ปี เป็นสามีภรรยากัน ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างถนนในประเทศเวียดนาม ถูก น.ส.ถิ เหวียน เฟือง หล่าน อายุ 47 ปี ผู้เสียชีวิต ที่เป็นญาติกันชวนร่วมลงทุนกับ น.ส.เชรีน ชอง อายุ 56 ปี ชาวเวียดนามสัญชาติอเมริกัน สร้างโรงพยาบาลในประเทศญี่ปุ่น คิดเป็นเงินไทยประมาณ 10 ล้านบาท แต่เวลาผ่านมานานไม่คืบหน้าทวงถามมาตลอด ก่อนหน้านี้นัดเคลียร์กันที่ประเทศญี่ปุ่นแต่ติดขัดเรื่องขอวีซ่าจึงเปลี่ยนมาไทย คาดว่านายดิน เจิ่น ฟู อายุ 37 ปี ช่างแต่งหน้าชื่อดังเมืองดานัง และนายฮึง ดัง วัน อายุ 55 ปี ก็ถูกหลอกให้ร่วมลงทุนเช่นกัน ขณะนี้สอบพยานกว่า 10 ปาก ตรวจสอบกระเป๋าเดินทางทั้ง 8 ใบไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย แต่ในกระเป๋า น.ส.เชรีน ชอง พบเอกสารฟ้องร้องฉ้อโกง

ผัวเมียสัญชาติอเมริกันก่อเหตุ

มีรายงานจากชุดสืบสวนคลี่คลายคดีพบว่า น.ส.เชรีน ชอง และนายฮึง ดัง วัน ชาวเวียดนามสัญชาติอเมริกันเป็นสามีภรรยากัน ก่อนเกิดเหตุชักชวนกลุ่มผู้เสียชีวิตทำธุรกิจหลายอย่าง ล่าสุดชวนเอาเงินไปลงทุนทำโรงพยาบาลในประเทศญี่ปุ่น แต่หลังได้เงินไปแล้วไม่มีความคืบหน้าเรื่องการก่อสร้าง ถูกกลุ่มผู้ถูกชักชวนให้ร่วมลงทุนกดดันขอเงินคืน ทำให้คู่ผัวเมียสัญชาติอเมริกันเกิดความเครียด ตัดสินใจก่อเหตุวางยาไซยาไนด์ผู้ร่วมลงทุนและกินยาตามเพื่อฆ่าตัวตายตามดังกล่าว

พบไซยาไนด์ในแก้ว-กา-ถุงชา

ที่ สพฐ.ตร. พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช. สพฐ.เข้าฟังบรรยายผลการตรวจวัตถุพยาน ผลการตรวจสอบเบื้องต้น พบแก้วทั้ง 5 ใบที่อยู่บนโต๊ะชา และแก้วอีก 1 ใบที่พบบนโต๊ะกินข้าวมีสารไซยาไนด์และมีในกาโลหะ 1 ใน 3 ใบในห้อง นอกจากนี้ในถุงชาก็พบสารไซยาไนด์ด้วยเนื่องจากถุงชามีสีเข้ม ส่วนรายการอื่นเบื้องต้นไม่พบสารไซยาไนด์เลย สำหรับการออกฤทธิ์ของสารไซยาไนด์ เมื่อผสมน้ำจะไม่มีรสและไม่มีกลิ่น ผู้ดื่มไม่สามารถรู้ได้ เมื่อสารไซยาไนด์เข้าสู่ร่างกายจะทำให้เม็ดเลือดไม่แลกเปลี่ยนออกซิเจน ออกฤทธิ์ไม่ถึง 5 นาทีขึ้นอยู่กับปริมาณ เมื่อเสียชีวิตตามร่างกายผิวจะออกสีชมพู ลมหายใจมีกลิ่นอัลมอนด์

นิติเวช รพ.จุฬาแถลงผลชันสูตร

ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เวลา 15.00 น. รศ.นพ.กรเกียรติ วงศ์ไพศาลสิน หัวหน้าภาควิชานิติเวชศาสตร์ และ ผอ.ศูนย์อำนวยการชันสูตรพลิกศพ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณะบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและ ผอ.โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. และ พล.ต.ต.วาที อัศวุตมางกุร ผบก.พฐก.ร่วมแถลงผลการชันสูตรศพเบื้องต้นชาวเวียดนาม 6 ศพ นพ.กรเกียรติกล่าวว่า ชันสูตรพลิกศพทั้งหมด เป็นหญิง 3 ร่าง ชาย 3 ร่างมาตั้งแต่คืนเกิดเหตุจนถึงตอนนี้ พิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล พิสูจน์เอกสารหลักฐานตรงกับสภาพศพที่ได้รับ เก็บภาพและหลักฐานผู้เสียชีวิตประกอบด้วย เลือด ปัสสาวะ น้ำวุ้นในลูกตา เพื่อนำไปพิสูจน์หาสาเหตุการตายร่วมด้วย รวมถึงซีทีสแกนหาร่องรอยการถูกทำร้าย

ตายเพราะฤทธิ์ไซยาไนด์

“เบื้องต้นไม่พบร่องรอยถูกทำร้าย แต่อวัยวะภายในพบการคั่งเลือดปริมาณมาก ทีมแพทย์ประเมินว่า ทุกรายมีระยะเวลาการเสียชีวิต 12-24 ชม. ประเมิน การตรวจความเปลี่ยนแปลงของร่างกายหลังการตาย ทั้งการคลายตัวของกล้ามเนื้อ การตกสู่เบื้องต่ำของเม็ดเลือด ทุกศพมีลักษณะสอดคล้องกัน ตรวจผ่าแยกร่างพบว่าทั้ง 6 รายมีร่องรอยขาดอากาศ ริมฝีปากเป็นสีม่วงเข้ม ปลายเล็บมือมีสีม่วง การตกสู่เบื้องต่ำของเม็ดเลือดพบเม็ดเลือดมีสีแดงสด อวัยวะมีสีแดงสด บ่งชี้ว่าอาจเสียชีวิตเกี่ยวข้องการขาดอากาศหายใจที่เกิดจากสารพิษร่วมด้วย ทีมชันสูตรสันนิษฐานเบื้องต้นว่า ทุกรายเสียชีวิตจากสารไซยาไนด์ ทำให้ขาดอากาศระดับเซลล์ของอวัยวะที่สำคัญคือ ระบบประสาทและหัวใจ น่าจะเป็นสาเหตุการตาย แต่มีปริมาณเท่าใดและมีสารประกอบอื่นเสริมฤทธิ์ด้วยหรือไม่ ต้องรอผลการตรวจเลือดยืนยันอีกครั้ง คาดว่าทราบผลวันที่ 19 ก.ค. และคาดว่าจะทราบผลภาพรวมทั้งหมดใน 1-2 สัปดาห์ แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าใครเสียชีวิตก่อนหลัง หรือชักเกร็งก่อนตายหรือไม่ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงหลังการตายมีปัจจัยรบกวนหลายอย่าง เช่น อุณหภูมิ ระยะเวลา จึงอาจมีความคลาดเคลื่อน” รศ.นพ.กรเกียรติ กล่าว

ตรวจสารพิษตามร่างกายต่อ

รศ.นพ.กรเกียรติกล่าวด้วยว่า ทุกศพมีเศษอาหารคงเหลืออยู่ในกระเพาะแตกต่างกัน บางศพอาหารย่อยไปมากแล้ว แต่บางศพยังไม่ย่อยเท่าที่ควร แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นอาหารชนิดใดบ้าง ข้อมูลนี้แพทย์จะบันทึกลงผลการชันสูตรแบบละเอียด ส่วนการตรวจสอบสารไซยาไนด์ที่พื้นผิวอื่นๆของศพ เป็นเรื่องยาก ต้องยอมรับว่าแพทย์ตรวจเฉพาะไซยาไนด์ในเลือด ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า มีไซยาไนด์ติดที่อวัยวะภายนอกของบุคคลใดใน 6 รายนี้บ้าง หลังจากนี้จะตรวจภายนอกต่อไป

ตรวจเพิ่มมีสารพิษอื่นหรือไม่

ด้าน รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ กล่าวว่า เบื้องต้นจากลักษณะที่ตรวจพบทั้งภายนอกและอวัยวะภายใน ไม่พบว่ามีปัจจัยอื่นที่เป็นเหตุให้เสียชีวิตนอกจากสารไซยาไนด์ ต้องรอผลตรวจอวัยวะภายในเชิงลึกเพื่อหาสารบางอย่างเพิ่มเติม แต่เบื้องต้นหากได้รับสารไซยาไนด์ปริมาณเกิน 3 มิลลิกรัมต่อเลือด 1 ซีซี หรือรับในปริมาณมากผ่านการกินดื่ม จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการเหงื่อออก ชักเกร็ง เพราะขาดออกซิเจนในสมองเฉียบพลัน ก่อนเสียชีวิตภายในเวลาหลักนาที

ตำรวจลุยหาที่มาไซยาไนด์

ส่วน พล.ต.ต.นพศิลป์กล่าวเพิ่มเติมว่า ตำรวจตั้งข้อสันนิษฐานที่มาของสารไซยาไนด์ไว้ 2 ประเด็นคือ เตรียมการนำเข้ามาก่อนเข้าประเทศไทย หรือหาซื้อในประเทศผ่านช่องทางต่างๆ สั่งการให้ตรวจสอบตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค. ที่กลุ่มผู้เสียชีวิตเริ่มเดินทางเข้าประเทศไปถึงวันที่ 12 ก.ค. ยอมรับว่าขณะเดินทางผ่าน ตม.ไม่สามารถตรวจหาสารเหล่านี้ได้ รวมถึงไม่สามารถยืนยันว่าผู้ใดคือผู้นำเข้า ต้องรอการสืบสวนให้เสร็จสิ้นชัดเจนก่อน สำหรับขั้นตอนหลังชันสูตร ตำรวจจะรอรายงานผลการชันสูตรจากทางแพทย์เพื่อนำไปประกอบสำนวน ส่วนครอบครัวที่ติดต่อรับศพ มีเพียงครอบครัวของสามีภรรยาที่มาสอบปากคำที่ สน.ลุมพินีในวันนี้เท่านั้น

ไกด์อ้างรู้จักแค่คนเดียว

ที่ สน.ลุมพินี เวลา 16.10 น. พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.3 บก.สส.บช.น.เชิญนายฟาน หง็อก หวู (Mr.PHAN NGOC VU) อายุ 35 ปี ชาวเวียดนาม ไกด์กลุ่มผู้เสียชีวิตมาสอบปากคำ ฐานะพยานที่ห้องประชุมชั้น 2 ผู้สื่อข่าวสอบถามว่า รู้จักกับกลุ่มผู้ตายหรือไม่ นายฟานเดินเลี่ยงพร้อมใช้มือปิดบังหน้าไม่ตอบ บอกเพียงว่าไม่รู้ครับ ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า เคยเจอกลุ่มผู้ตายครั้งแรกหรือไม่ นายฟานตอบว่า ไม่รู้จักกับกลุ่มผู้ตาย แต่รู้จัก 1 คนเมื่อปีที่แล้ว ก่อนถูกนำตัวเข้าห้องประชุมไป มีรายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 3-5 ก.ค. น.ส.ถิ เหวียน เฟือง หล่าน 1 ในผู้เสียชีวิต ใช้ฟาน หง็อก หวู ไปซื้อยาราคา 11,000 บาทไปส่งให้ที่ รร.เอเทรียม บอกว่าเป็นยางูหมายเลข 7 ต่อมาสามี น.ส.ถิ เหวียน เฟือง หล่าน สั่งให้แลกเงินดองคิดเป็นเงินไทย 90,000 บาท เอาไปให้ชายชาวเวียตนามสัญชาติอเมริกัน 1 ในผู้ตายที่โรงแรมแกรนด์ เซ็นเตอร์พ้อยต์ ราชดำริ น้องสาว น.ส.ถิ เหวียน เฟือง หล่าน เป็นคนเอาเงินไป

อดีตผัวเชื่อเมียไม่รู้ถูกวางยา

ต่อมา พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. พล.ต.ต.วิทวัส ชินคำ ผบก.น.5 และ พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สน.ลุมพินี เชิญนายเทียง ทัง พัม อายุ 50 ปี ชาวเวียดนาม สัญชาติญี่ปุ่น อดีตสามี น.ส.ถิ เหวียน เฟือง หล่าน มาให้ปากคำ เนื่องจากเป็นผู้วิดีโอคอลกับ น.ส.ถิ เหวียน เฟือง หล่าน ก่อนเสียชีวิต นายเทียงให้การว่า เป็นข้าราชการเวียดนามอยู่ระหว่างเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่น เป็นอดีตสามีมีลูกด้วยกัน ก่อนอดีตเมียเสียชีวิตคุยวิดีโอคอลกับอดีตภรรยา เท่าที่พูดคุยเชื่อว่า อดีตภรรยาไม่น่ารู้ว่าจะถูกวางยาเสียชีวิต มีรายงานว่า ชุดสืบสวนสงสัย น.ส.ถิ เหวียน เฟือง หล่าน ผู้เสียชีวิต เป็นคน ชักชวนชาวเวียดนามระดมทุนประกอบธุรกิจโรงพยาบาลที่ประเทศญี่ปุ่น สันนิษฐานว่าเป็น 2 ในผู้ต้องสงสัยวางยาเพื่อนร่วมชาติครั้งนี้

“เชรีน ชอง” มีประวัติต้มตุ๋น

สำหรับ น.ส.เชรีน ซอง อายุ 56 ปี ได้รับการประสานข้อมูลจากหน่วยงานสืบสวนพิเศษสหรัฐ อเมริกาว่า มีประวัติถูกผู้เสียชีวิตชาวเวียดนามแจ้งความกับตำรวจซานฟรานซิสโก ถูก น.ส.เชรีน ชอง ต้มตุ๋นอ้างว่าสามารถขอสัญชาติอเมริกันได้แลกกับค่าดำเนินการ เป็นเรื่องที่เกิดมานานกว่า 10 ปี แต่อัยการสหรัฐฯสั่งไม่ฟ้อง ทำให้ไม่มีประวัติการก่อคดี

สหรัฐฯแถลงเสียใจเหตุ 6 ศพ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเหตุระทึกกลางกรุงเทพฯ กรณีนักท่องเที่ยวชาวเวียดนามเสียชีวิต 6 ศพ ถือสัญชาติเวียดนาม 4 คนและสัญชาติอเมริกัน 2 คน ที่โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ ระบุว่า นายแมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกา แถลงแสดงความเสียใจแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต ทั้งนี้รัฐบาลสหรัฐฯติดตามสถานการณ์ และติดต่อกับเจ้าหน้าที่ในไทยอย่างใกล้ชิด นายมิลเลอร์เผยด้วยว่า นายแอนโทนี บลิงเคน รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ หารือผ่านทางโทรศัพท์กับนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ไทย เมื่อวันที่ 16 ก.ค. แต่คิดว่าการพูดคุยนี้เกิดขึ้นก่อนจะมีรายงานเกี่ยวกับเหตุในครั้งนี้ จึงไม่ทราบว่าระหว่างสนทนาหารือประเด็นนี้หรือไม่

ส่งเอฟบีไอสอบสวนร่วม

สำนักข่าวสเตรทไทม์ของสิงคโปร์ ระบุว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีไทย เผยว่า สำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐฯ หรือเอฟบีไอ เดินทางมายังไทยเพื่อปฏิบัติการสอบสวนร่วมกันถึงเหตุฆาตกรรมที่เกิดขึ้น ด้านสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งเวียดนาม (วีทีวี) รายงานว่า นางฝ่าม ทู หั่ง โฆษกกระทรวงต่างประเทศเวียดนามแถลงว่า สถานเอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศไทยให้ความร่วมมือกับทางการไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อติดตามและหามูลเหตุครั้งนี้ อีกทั้งจะจัดหาข้อมูลที่จำเป็นเพื่อสนับสนุนการสอบสวนเพิ่มเติม ขณะเดียวกันกระทรวงต่างประเทศเวียดนามร่วมมือกับกระทรวงความปลอดภัยสาธารณะทันทีเช่นกัน พร้อมกันนี้ยังแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต และหวังว่าจะสามารถผ่านการสูญเสียครั้งใหญ่ไปได้

พ่อเหยื่อบอกถูกจ้างมาแต่งหน้า

สำนักข่าววีเอ็น เอ็กซ์เพรสของเวียดนาม เผยบทสัมภาษณ์ของนายเจิ่น ดิน สุง วัย 65 ปี บิดาของ 1 ในผู้เสียชีวิตคือ นายดิน เจิ่น ฟู อายุ 37 ปี ระบุว่า นายดินประกอบอาชีพเป็นช่างแต่งหน้ามานาน 16 ปี มักถูกจ้างไปแต่งหน้าให้กับศิลปินและผู้มีชื่อเสียงหลายคน ทั้งนี้นายสุงเผยว่า ลูกชายได้รับการว่าจ้างจากนักธุรกิจหญิงสัญชาติเวียดนาม-อเมริกันไปแต่งหน้าให้กับเธอที่ประเทศไทยเป็นเวลา 3 วัน ได้รับการติดต่อให้บินมาไทยในวันที่ 11 ก.ค. ติดต่อครั้งล่าสุดลูกชายบอกว่า งานกำลังไปได้ดีจะเดินทางกลับเวียดนามวันที่ 14 ก.ค. นอกจากนี้นายสุงระบุด้วยว่า นายดินทำงานเป็นช่างแต่งหน้ามาตลอด ไม่เคยมีปัญหา หรือทะเลาะเบาะแว้งกับใคร ไม่อยากเชื่อเลยว่า การเดินทางไปทำงานครั้งนี้ทำให้กลายเป็นเหยื่อถูกวางยาพิษ อีกทั้งไม่ทราบว่า กลุ่มที่จ้างไปทำงานที่ประเทศไทยเป็นคนกลุ่มไหน

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่