สืบภาค 5 ทลายเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ จับคู่รักวัยรุ่นเช่าห้องโครงการเอื้ออาทรที่เชียงใหม่ ซุกเครื่องซิมบ็อกซ์ 12 เครื่อง ใช้แปลงเบอร์โทรศัพท์เป็นเบอร์ภายในประเทศ โดย 1 เครื่องใช้โทรหลอกเหยื่อได้กว่า 3 แสนครั้งต่อเดือน ผู้ต้องหาอ้างรับจ้างเฝ้าอุปกรณ์ ได้ค่าจ้างจุดละ 8,000 ต่อเดือน
วันที่ 8 กรกฎาคม พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 นำกำลังชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 5 บุกทลายเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 3 จุดพร้อมกันที่โครงการบ้านเอื้ออาทรเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ต.หนองควาย อ.หางดง จ.เชียงใหม่, โครงการบ้านเอื้ออาทรป่าตัน ต.ป่าตัน อ.เมืองเชียงใหม่ และโครงการบ้านเอื้ออาทรสันผีเสื้อ อ.เมืองเชียงใหม่ หลังสืบทราบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้เช่าห้องไว้เป็นสถานที่ติดตั้งอุปกรณ์ไอทีที่ใช้สำหรับการโทรศัพท์หลอกลวงประชาชน
โดยที่ห้องพักบนชั้น 4 อาคาร 1 โครงการบ้านเอื้ออาทรเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ต.หนองควาย อ.หางดง จ.เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่พบเครื่อง GSM Gateways หรือ ซิมบ็อกซ์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำหรับแปลงสัญญาณการโทรศัพท์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตให้เป็นเบอร์โทรศัพท์ภายในประเทศ จำนวน 4 เครื่อง พร้อมอุปกรณ์จ่ายไฟ ซึ่งทั้งหมดยังเปิดใช้งานอยู่ ส่วนที่บ้านเอื้ออาทรอีก 2 จุดพบเครื่องซิมบ็อกซ์อีกห้องละ 4 เครื่อง รวมทั้งหมด 12 เครื่อง โดยเจ้าหน้าที่ได้จับกุมผู้ต้องหาคู่รักชายอายุ 21 และ หญิง อายุ 25 ปี ที่เป็นคนเช่าห้องทั้ง 3 ห้อง
สอบสวนเบื้องต้นทั้งสองสารภาพว่าเป็นผู้เช่าห้องพักทั้ง 3 จุด และเป็นคนคอยเฝ้าดูแลอุปกรณ์ทั้งหมด ได้ค่าจ้างจุดละ 8,000 ต่อเดือน แต่อ้างว่าไม่ทราบว่าอุปกรณ์ทั้งหมดคืออะไร สาเหตุที่ทำเพราะรายได้ดี
พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เปิดเผยว่า สืบสวนภาค 5 ใช้อุปกรณ์พิเศษแกะรอยคอลเซ็นเตอร์แก๊งนี้มาได้ระยะหนึ่ง ทราบว่ามีฐานอยู่ประเทศเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้าม อ.แม่สาย จ.เชียงราย โดย แก๊งนี้จะโทรผ่านระบบอินเทอร์เน็ตส่งสัญญาณผ่านเครื่องซิมบ็อกซ์ที่ติดตั้งไว้เพื่อแปลงสัญญาณให้เป็นเบอร์โทรศัพท์ในประเทศใช้ในการหลอกลวงให้เหยื่อเข้าใจว่าเป็นสายโทรจากหน่วยงานรัฐภายในประเทศ
...
"เครื่องซิมบ็อกซ์ 1 เครื่อง ใส่ได้ 32 ซิมการ์ด สามารถใช้หลอกลวงประชาชนได้ถึง 300,000 ครั้งต่อเดือน หากรวมกันเฉพาะ 12 เครื่องที่ยึดได้ในวันนี้ พบว่ามีเบอร์หลอกลวง โทรผ่านเครื่องทั้งหมดนี้ไปแล้วกว่า 3.6 ล้านครั้ง"
สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 2 รายนี้เบื้องต้นจะถูกแจ้งข้อหาตั้งสถานีวิทยุคมนาคมเพื่อส่งสัญญาณโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม, นำสิ่งของต้องห้ามต้องจำกัดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร หลังจากนี้เจ้าหน้าที่จะขยายผลจับกุมเครือข่ายที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม