ชลบุรี ตำรวจชุดสืบสวน สภ.บ้านบึง วางแผนตามรวบทันควัน สมาชิกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลังหลอกเหยื่อ เป็นชายวัย 81 ปี ได้เงินไปถึง 3 ล้านบาท อ้างพัวพันสิ่งผิดกฎหมายและฟอกเงิน กระทั่งย้อนมาก่อเหตุซ้ำ นัดรับเงินอีกก้อนที่ยังหลงเหลืออยู่ในบัญชี

เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2567 พ.ต.อ.สมชาย ทิวงษา ผกก.สภ.บ้านบึง ได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.พิสิฐ กิจขุนทด รอง ผกก.สืบสวน สภ.บ้านบึง พร้อมกำลังชุดสืบสวน เข้าจับกุมตัวผู้ต้องหาที่ร่วมกันหลอกเอาเงินผู้อื่น หลังผู้เสียหาย เป็นชายสูงวัย ชื่อ นายชาย (นามสมมติ) อายุ 80 ปี 

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 67 ได้มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ โทรศัพท์มาพูดคุยแจ้งว่า นายชาย ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำผิดกฎหมาย และการฟอกเงิน ให้โอนเงินที่อยู่ในบัญชีธนาคาร เพื่อตรวจสอบ หากไม่ทำตามจะถูกดำเนินคดี เพื่อเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจ จะต้องให้ความร่วมมือ กับผู้อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ และห้ามมิให้ผู้เสียหายเปิดเผยเรื่องนี้ให้ใครรู้ ให้เก็บเป็นความลับ แต่เนื่องจากผู้เสียหาย ไม่ได้ติดตั้งแอปพลิเคชันธนาคารเอาไว้ จึงไม่สามารถโอนเงินผ่านโทรศัพท์มือถือได้ ทางมิจฉาชีพจึงให้เตรียมเบิกเงินสดจากธนาคารเอาไว้ เดี๋ยวจะมีคนมารับเงิน 

ต่อมาวันที่ 27 มิถุนายน 67 ผู้เสียหายได้เดินทางไปเบิกเงินสดที่ธนาคารแห่งหนึ่ง ในอำเภอบ้านบึง จำนวน 3 ล้าน โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จะเป็นคนนัดแนะเวลาและสถานที่ นัดรับเงินสดที่หน้าโชว์รูมรถแห่งหนึ่งบนถนนสาย 344 พื้นที่อำเภอบ้านบึง ชลบุรี 

...

นายชาย ผู้เสียหาย จึงได้มอบเงินจำนวน 3 ล้านบาทให้กับคนที่มารับเงินไป 

จากนั้นทางแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ก็ได้ติดต่อกับผู้เสียหายอีกครั้ง ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 บอกให้ผู้เสียหายโอนเงินที่อยู่ในบัญชีธนาคารทั้งหมดมาให้ตรวจสอบอีก และจะมีคนมารับเงินเหมือนครั้งก่อน นายชาย จึงได้ไหว้วานให้ลูกสาวช่วยขับรถไปส่ง กระทั่งลูกสาวรู้ความจริง จึงรีบประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจววางแผนเพื่อจับกุม 

โดยจับกุมตัวได้บริเวณริมถนนสาย 344 หน้าหมู่บ้านบวรธรรม เขตอำเภอบ้านบึง ชลบุรี ทราบชื่อต่อมา คือ นายวิศรุต วารเจริญ อายุ 35 ปี เคยก่อเหตุในลักษณะเดียวกันในพื้นที่ สน.โชคชัย ได้เงินไปจำนวน 1.5 ล้านบาท มีหมายจับในคดีนี้และร่วมกันก่อเหตุหลอกเอาเงินจากผู้เสียหายเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 67 ในพื้นที่ อำเภอบ้านบึง ได้เงินไปอีก 3 ล้านบาทดังกล่าว กระทั่งล่าสุดวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ผู้ต้องหาเดินทางมารับเงินจากผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อ แต่ถูกจับกุมเสียก่อน ส่วนผู้ต้องหาที่ร่วมมือกันอีกรายทราบชื่อ นายแบงค์ ได้หลบหนีไปได้

ทางด้านนางสาวหญิง ลูกสาวนายชาย ผู้เสียหาย (นามสมมติ) เล่าว่า พ่อตนเองหลงเชื่อแก๊งมิจฉาชีพ ที่ส่งเอกสารปลอมมาให้ดูทางไลน์ ว่ามีส่วนพัวพันกับการฟอกเงินและทำผิดกฎหมาย ขอตรวจสอบเงินในบัญชีธนาคาร โดยการให้โอนเงินไปให้ตรวจสอบ แต่คุณพ่อของตนไม่ได้มีแอปฯธนาคาร จึงไปเบิกเงินสดจากธนาคารมา 3 ล้าน และเกือบจะสูญเงินอีกเป็นครั้งที่สอง ดีที่ตนเองได้ทำการสอบถามรายละเอียดจากพ่อจนทราบว่าถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก จึงประสานตำรวจ สภ.บ้านบึง ตามจับแก๊งมิจฉาชีพได้ 1 คน

ทางด้าน พ.ต.ท.พิสิฐ กิจขุนทด รอง ผกก.สืบสวน สภ.บ้านบึง ได้เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาที่จับกุมได้เป็นส่วนหนึ่งของ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่หลอกผู้เสียหายให้โอนเงิน แต่เนื่องจากทางญาติๆ ผู้เสียหายมีความเป็นห่วงความปลอดภัยในทรัพย์สิน และเป็นผู้สูงอายุ จึงไม่ได้ติดตั้งแอปพลิเคชันของธนาคารไว้กับโทรศัพท์มือถือ ทางกลุ่มมิจฉาชีพจึงหลอกให้ผู้เสียหาย เบิกเงิน และจะเดินทางมารับเงินกับผู้เสียหายถึงสถานที่นัดหมาย โดยทำสำเร็จไปแล้ว 1 ครั้ง 

ส่วนครั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านบึง สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ จึงตั้งข้อหา ร่วมกันฉ้อโกง ประชาชนโดยการแสดงตนว่าเป็นคนอื่น โดยทุจริตหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และเสพสารเสพติด 

เบื้องต้นผู้ต้องหายอมรับว่าเสพยาเสพติด ส่วนข้อหาอื่นๆ ยังปฏิเสธ แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหลักฐานชัดเจนกับพฤติกรรมของทางผู้ต้องหาว่าได้ก่อเหตุจริงจึงวางแผนเข้าจับกุมดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บางช่วงบางตอนผู้ต้องหาอ้างว่า กลุ่มขบวนการอยู่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ติดต่อผ่านไลน์บอกว่ามาเก็บเงินให้หน่อย ตามพิกัดที่แจ้ง โดยตนเองได้รับเงินค่าน้ำมันจำนวน 10,000 บาท