สืบภาค 2 แถลงข่าวผนึกพลัง ตำรวจ-เอไอเอส เปิดยุทธการทลายเครือข่ายแก๊งลักแบตเตอรี่สำรองเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือ มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท


เวลา 10.00 น. วันที่ 24 มิถุนายน 2567 ที่ห้องโถง บก.สส.ภ.2 พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.2, พล.ต.ต.ฉัตรชัย สุรเชษฐพงษ์ รอง ผบช.ภ.2, พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภ.2, พ.ต.อ.พัฒนา ปรีชานันท์ รอง ผบก.สส.ภ.2, พร้อมด้วยชุดสืบสวน บก.สส.ภ.2 และตัวแทนบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส แถลงข่าวหลังจากได้รับแจ้งทำการสืบสวนว่ามีเหตุคนร้ายตระเวนลักทรัพย์แบตเตอรี่ (ลิเทียม) ที่ติดตั้งกับเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือของบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค จำกัด ในกลุ่มเอไอเอส จำนวนหลายท้องที่ในพื้นที่ภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2

จากการประสานของมูลจาก บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค จำกัด พบว่า ในห้วงระยะเวลาตั้งแต่ 1 ม.ค. 2566 ถึงปัจจุบันเกิดเหตุคนร้ายได้ตระเวนก่อเหตุในลักษณะเดียวกันกว่า 150 ครั้ง ได้ทรัพย์สินเป็นแบตเตอรี่ไม่ต่ำกว่า 300 ลูก ทำให้บริษัทฯ ได้รับความเสียหาย คิดเป็นมูลค่าความเสียหายมากกว่า 10 ล้านบาท คนร้ายได้ตระเวนลักทรัพย์ในพื้นที่หลายจังหวัดในภาคตะวันออก โดยเลือกพื้นที่ห่างไกลและไม่ค่อยมีกล้องวงจรปิด ออกตระเวนลักทรัพย์อย่างต่อเนื่อง และจากแผนประทุษกรรมการก่อเหตุพบว่าคนร้ายเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับระบบเสาสัญญาณโทรศัพท์เป็นอย่างดี ซึ่งคาดว่าคนร้ายเป็นกลุ่มคนที่เคยประกอบอาชีพเกี่ยวกับการติดตั้งระบบในเสาสัญญาณโทรศัพท์ 

...

ด้านนายสมภพ กิตติวิรุฬห์วัฒน์ รักษาการหัวหน้างานปฏิบัติการภูมิภาค-ภาคตะวันออก เอไอเอส กล่าวว่า จากกรณีที่มีมิจฉาชีพขโมยแบตเตอรี่สถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเอไอเอสในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบกับความเสี่ยงของการให้บริการสัญญาณเครือข่ายอย่างยิ่ง เนื่องจากทำให้สถานีฐานขาดระบบสำรองแหล่งพลังงาน อันอาจทำให้ไม่สามารถให้บริการสัญญาณได้ตามปกติ ดังนั้นทีมวิศวกรและฝ่ายกฎหมายของเอไอเอสจึงเดินหน้าทำงานสืบสวนในเชิงลึกร่วมกับตำรวจ โดยกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามกลุ่มมิจฉาชีพ และสามารถเข้าจับกุมรายใหญ่ได้ในวันนี้ ซึ่งในนามของเอไอเอสต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกท่านอย่างยิ่งที่ให้ความสำคัญกับคดีนี้

ทั้งนี้เชื่อมั่นว่าในพื้นที่อื่นๆ หากมีการผนึกกำลังร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนในลักษณะนี้ จะทำให้สามารถติดตามจับกุม และนำทรัพย์สินกลับมาเพื่อให้สามารถส่งมอบสัญญาณเครือข่ายได้อย่างมีคุณภาพต่อไป อย่างไรก็ตามหากประชาชนพบเหตุต้องสงสัยสามารถแจ้งมาที่บริษัทฯ หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตลอดเวลาเช่นกัน

สำหรับ แบตเตอรี่ลิเทียม ที่ได้ทำการติดตั้งกับเสาสัญญาณโทรศัพท์ มีไว้สำหรับเป็นกระแสไฟฟ้าสำรองกรณีหากมีเหตุไฟฟ้าดับ แบตเตอรี่จะทำงานจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับเสาสัญญาณโทรศัพท์ ทำให้ประชาชนที่มีพื้นที่การใช้งานบริเวณเสาสัญญาณนั้นๆ ยังสามารถใช้สัญญาณโทรศัพท์ในการติดต่อสื่อสารได้ บริษัทจริงต้องใช้แบตเตอรี่ลิเทียมที่มีกำลังวัตต์สูง เพื่อสำรองกระแสไฟฟ้าให้เพียงพอที่จะทำให้สัญญาณโทรศัพท์ไม่ขัดข้องในกรณีที่ไฟฟ้าดับ โดยในเสา 1 ต้น จะติดตั้งประมาณ 2-3 ลูก ราคาอยู่ที่ประมาณลูกละ 40,000 บาท ซึ่งแบตเตอรี่ลิเทียมประเภทนี้จะไม่ได้มีการนำมาขายตามท้องตลาด ทางบริษัทนำเข้าแบตเตอรี่ จะจำหน่ายให้กับบริษัทที่จะต้องนำไปใช้งานจริงเท่านั้น คนร้ายได้กระทำกันเป็นขบวนการเครือข่าย โดยหลังจากที่คนร้ายได้ทำการลักทรัพย์แบตเตอรี่แล้วจะรีบนำไปส่งขายให้กับกลุ่มรับซื้อของโจรในราคาลูกละ 5,000-8,000 บาท จากนั้นกลุ่มคนรับซื้อของโจรจะดำเนินการปลด Alert ในตัวแบตเตอรี่ แล้วนำไปลงขายใน Social ตลาดมืด ในราคาลูกละ 12,000-14,000 บาท และหากซื้อจำนวนมากๆ ราคาจะถูกลง ซึ่งตลาดมืดที่มีความต้องการแบตเตอรี่ประเภทนี้สูงที่สุด คือ กลุ่มตลาดที่รับติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เนื่องจากแบตเตอรี่ที่มีกำลังวัตต์สูงในการเก็บไฟฟ้า รองลงมาจะเป็น กลุ่มเครื่องเสียงรถยนต์ กลุ่มเครื่องเสียงรถแห่ กลุ่มทำเหมืองขุดบิตคอยน์ เป็นต้น 

ชุดสืบสวน บก.สส.ภ.2 ได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และได้ร่วมกันประชุมวางแผนกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายและวิศวกรของบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค จำกัด เพื่อประสานข้อมูลในการสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ และทำลายเครือข่ายขบวนการลักแบตเตอรี่เสาสัญญาณโทรศัพท์ในครั้งนี้ ซึ่งชุดสืบสวนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาจำนวน 7 คน และขออนุมัติศาลขอหมายค้นเพื่อตรวจยึดของกลางอีกจำนวน 8 จุด ซึ่งได้ดำเนินการวางแผน Operation ตั้งแต่วันที่ 21-23 มิ.ย. 67 ซึ่งรายละเอียดผลการปฏิบัติการมีดังนี้ 

จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ จำนวน 6 ราย ประกอบด้วย 1.นายอัศวิน 2.นายอิบรอฮีม 3.นายนาวิน 4.นายรุ่งอนัน 5.นายศราวุธ 6.นายปริวัฒน์ 7.นายวีระวุฒิ (หลบหนีการจับกุม) รวมจับกุม 6 คน ตรวจยึดของกลางรวม จำนวน 114 ลูก ซึ่งการตรวจยึดจากผู้ที่รับซื้อรวมถึงคนกลางที่รับซื้อแบตเตอรี่ซึ่งถูกขายบน Social ด้วย จากการขยายผลพบกลุ่มผู้กระทำความผิดที่เป็นตัวลงมือลักทรัพย์และตัวกลางรับซื้ออีกหลายราย ซึ่งจะได้จับกุมให้หมดทั้งขบวนการ และได้ประสานงานกับชุดสืบสวน บก.สส.ภ.3, กก.สืบสวน ภ.จว.นครราชสีมา, กก.สืบสวน ภ.จว.ชลบุรี การตรวจยึดในครั้งนี้ การกระทำของผู้ลงมือและตัวกลางรับซื้อ เป็นความผิดฐานลักทรัพย์/รับของโจร ซึ่งมีอัตราโทษสูงถึง 5 ปี และหากมีพฤติการณ์ลักทรัพย์อันมีลักษณะเป็นปกติธุระ หรือรับของโจรเฉพาะที่เกี่ยวกับการช่วยจำหน่าย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้ด้วยประการใด ซึ่งทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดอันมีลักษณะเป็นการค้า ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฟอกเงิน อีกส่วนหนึ่ง ต้องระวางโทษตั้งแต่ 1 ปี - 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และจะถูกดำเนินการตามมาตรการยึดทรัพย์ ในส่วนตัวกลางรับซื้อ รับจำหน่าย ได้มีการอายัดบัญชีไว้แล้วกว่า 1,000,000 บาท และจะถูกดำเนินคดีทุกกรรม เป็นกระทงความผิดไป.

...