"ตำรวจ-กสทช.-ดีเอสไอ" บุกค้นเป้าหมาย 4 จุด ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ทลายฐานที่มั่นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่างชาติรายใหญ่ จับกุมผู้ต้องหาทั้งไทย-จีน 90 คน พร้อมยึดของกลางได้อีกเพียบ
เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 67 ที่ สภ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช เจ้าหน้าที่ร่วมกันแถลงผลการเปิดปฏิบัติการสนธิกำลังของตำรวจไซเบอร์ เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ตำรวจสืบสวน ภ.8 ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ กสทช. กว่า 100 นาย เข้าปูพรมตรวจค้นเป้าหมาย 4 จุด ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ในการทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนรายใหญ่ ที่ลักลอบตั้งฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกคนไทยและชาวจีน ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมขบวนการชาวจีน และผู้ร่วมขบวนการทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ รวม 90 คน พร้อมยึดของกลางอีกรายหลายการ เช่น คอมพิวเตอร์ 192 เครื่อง, มือถือและซิมผี 854 เครื่อง, Router กระจายสัญญาณ 22 เครื่อง, และบัญชีม้า 342 เล่ม, ซึ่งเป็นการกระทำที่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ, พ.ร.บ.การทำงานของคนต่างด้าวฯ, พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี, พ.ร.บ.โทรคมนาคมฯ, พ.ร.บ.ศุลกากรฯ และ ประกาศ กสทช. เรื่องการยืนยันตัวตนและข้อมูลเกี่ยวกับการใช้บริการฯ และจะมีการขยายผลการกระทำผิดไปถึงทุกคนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งดำเนินการยึดทรัพย์อย่างเด็ดขาด
โดย พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผช.ผบ.ตร. กล่าวว่า หลังจากได้รับมอบหมายจาก พล.ต.อ.กิตต์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการ ผบ.ตร. (รรท.ผบ.ตร.) พล.ต.ท.วรวัฒน์ฯ ผบช.สอท. และ ผบก.สอท.5 ได้มีการทำงานร่วมกับทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ และ กสทช. ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อติดตามตรวจสอบความเคลื่อนไหวของกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขอหมายค้นพร้อมกัน 3 จุด ในพื้นที่ ต.จันดี อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช พบรังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่างชาติ จำนวน 3 แห่งใกล้เคียงและเชื่อมโยงกัน ประกอบด้วย โรงแรมและบ้านพักและขยายผลไปยังโกดังจำหน่ายสินค้าญี่ปุ่นมือสองในพื้นที่ อ.นาบอน จ.นครศรีธธรมราช พบผู้ต้องหาและของกลางจำนวนมากตามที่กล่าวข้างต้น ถือเป็นองค์กรอาชญากรรมขนาดใหญ่ โดยในครั้งนี้ทางทูต ตำรวจจีนและญี่ปุ่น ได้เข้าร่วมตรวจสอบการกระทำผิดดังกล่าวด้วย เพื่อนำไปสู่การขยายผลการกระทำผิดในประเทศจีนและญี่ปุ่นต่อไป ซึ่งการจับกุมในครั้งนี้เป็นการตอบสนองนโยบาย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ซึ่ง พล.ต.อ.กิตต์รัฐ รรท.ผบ.ตร. ได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
...
ด้าน พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช.ด้านกฎหมาย กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบข้อมูลการสื่อสารและการใช้อินเทอร์เน็ตก่อนเข้าทำการจับกุม รวมทั้งการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลที่บันทึกไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ ประกอบการซักถามหลังการตรวจค้นจับกุมพบว่า มิจฉาชีพกลุ่มนี้ทำการติดต่อหลอกลวงเหยื่อหลากหลายวิธีในหลายประเทศ โดยวิธีการหนึ่งที่คนร้ายใช้ คือ จะทำการหลอกลวงเหยื่อผ่านช่องทาง Social media โดยเฉพาะแอป Telegram ใช้โทรศัพท์มือถือเป็นตัวกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตสื่อกลาง ซึ่งคนร้ายจะเชิญชวนเหยื่อให้ร่วมแนะนำ review โรงแรม รีสอร์ต หรือที่พักต่างๆ แล้วแจ้งว่าได้รับรางวัลตอบแทนเป็นตั๋วเครื่องบินหรือที่พักฟรี และให้เหยื่อกรอกข้อมูลส่วนบุคคลต่างๆ พร้อมส่งข้อความแนบลิงก์ให้กดยืนยันเพื่อรับรางวัล เมื่อเหยื่อหลงกลกดลิงก์ก็จะเป็นการเริ่มการติดตั้งโปรแกรมเข้ามือถือ แล้วคนร้ายจะใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้ก่อนหน้า ไปกระทำการเข้าถึงข้อมูลบัญชีธนาคาร mobile banking และหลอกดูดเงินเหยื่อในลำดับถัดไป หรือใช้วิธีการหลอกให้เหยื่อร่วมลงทุนด้วยวิธีต่างๆ โดยชุดจับกุมทั้งตำรวจ กสทช.และดีเอสไอ ได้ทำการรื้อถอนและตรวจยึดอุปกรณ์ทางเทคโนโลยี, คอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือ, รวมทั้งซิมการ์ด (ซิมผี) มากกว่า 1,300 ซิม ซึ่งไม่ได้ลงทะเบียนหรือลงทะเบียนไม่ถูกต้อง ตามกฎหมายและประกาศ กสทช.กำหนด เพื่อนำไปตรวจสอบทางเทคนิคและขยายผลไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป