ผู้การฯขอนแก่น ขอบคุณ “น้าเดช” หลังเด็กหญิง 13 ปี ยืนยันไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นบนรถตู้ ส่วนการตรวจสอบหลักฐาน หากไม่พบความผิดปกติ ก็ถือว่าเรื่องนี้สิ้นสุด 


วันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 ที่ห้องประชุม ภ.จว. ขอนแก่น พล.ต.ต.อนุวัตร สุวรรณภูมิ ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น พร้อมด้วย พ.ต.อ.คเชน ยืนยง รอง ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น พ.ต.อ.สมมาตย์ มั่งไธสง ผกก.สภ.แวงน้อย ร่วมกันแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน กรณีที่ย่าของเด็กหญิงวัย 13 ปี  เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.แวงน้อย เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 ว่า หลานสาว นั่งรถรถตู้ไปหาพ่อแม่ที่กรุงเทพฯเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2566 และต้องถึงพ่อแม่ในช่วงเช้ามืดวันที่ 2 ตุลาคม 2566 แต่รถตู้ส่งผิดเวลา และเมื่อหลานสาวกลับถึงบ้านวันที่ 30 ตุลาคม 2566 โดยรถตู้คันเดิม เมื่อกลับถึงบ้าน หลานสาวกลับมีอาการเพ้อและพูดว่าถูกคนขับรถตู้ข่มขืน จนเลือดไหลออกมา หลังรับแจ้งตำรวจส่งตัวเด็กหญิง 13 ปี ไปตรวจร่างกายที่รพ.แวงน้อย และให้บิดาไปแจ้งความกับตำรวจ สน.บางกอกใหญ่ ในกรณีเดียวกัน เพื่อให้มีการสืบสวนสอบสวน จับกุมคนที่ทำอนาจารเด็กหญิงอายุ 13 ปี มาดำเนินคดีตามกฎหมายนั้น

 

ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น กล่าวว่า กรณีดังกล่าว ทางตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น ร่วมกับ ตำรวจสืบสวนนครบาล ดำเนินการสืบสวนสอบสวนในกรณีดังกล่าวอย่างต่อเนื่องตลอดมาตั้งแต่รับแจ้ง ซึ่งได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนกระทั่งทราบว่ารถตู้คันไหน รับผู้โดยสารเดินทางจากไหน ไปที่ไหน มีผู้โดยสารกี่คน ส่งเด็กหญิงอายุ 13 ปีตอนไหน  ซึ่งมีการสอบสวนผู้โดยสารจนครบทุกคน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ สน.บางกอกใหญ่ ได้ทำการสอบสวนผู้โดยสารที่ลงรถเป็นคนสุดท้ายก็ยืนยันว่า เด็กหญิงอายุ 13 ปี ลงจากรถที่ใด เวลาใด และยืนยันว่า ไม่มีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้น

...


“ตำรวจได้ทำการสืบสวนสอบสวนในทุกมิติทั้งหมดแล้ว ในส่วนของเด็กเอง ตั้งแต่แจ้งความพร้อมคุณย่า ซึ่งสภ.แวงน้อย ตำรวจก็ได้ส่งตัวเด็กไปตรวจร่างกายของเด็ก โดยปัจจุบันยังอยู่ในความดูแลของแพทย์ที่ รพ.ขอนแก่น และยังคงเฝ้าติดตามอาการต่อเนื่อง โดยเมื่อเด็กมีอาการดีขึ้น ตำรวจได้ประสานขอเข้าสอบปากคำเด็ก และเมื่อวาน หมออนุญาตให้เข้าพบเด็กได้ จึงได้เข้าไปทำการสอบปากคำเด็กพร้อมทีมสหวิชาชีพ ประกอบด้วยตำรวจ ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนหญิง อัยการ แพทย์ นักจิตวิทยา และแม่ของเด็กก็อยู่ด้วย จากการสอบปากคำเด็ก เด็กสามารถให้การได้ และมีสติ โดยเล่าว่าเดินทางจากบ้านที่ อ.แวงน้อยไปเยี่ยมพ่อที่เขตบางกอกใหญ่ โดยเหตุการณ์เป็นปกติ และไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น”


ในส่วนที่แพทย์ บอกว่าเด็กโดนยาและถูกล่วงละเมิดทางเพศ จนพรหมจารีฉีกขาด แต่เป็นแผลที่นานมาแล้วนั้น กรณีนี้ไม่ได้ระบุว่าเด็กถูกข่มขืน เพราะอาจจะเกิดมาจากหลายสาเหตุ เกิดจากการใช้ชีวิตประจำวันก็เป็นได้ ซึ่งจากการสอบสวนเด็กนั้น ทางเจ้าหน้าที่ค่อยๆสอบถามเด็กในทีละประเด็น ซึ่งเด็กก็ไม่ได้บอกว่าโดนข่มขืน ส่วนเหตุผลที่เด็กพูดออกมาให้ย่าฟังนั้น ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้ลงรายละเอียด ว่าเพราะอะไร ทำไมเด็กถึงพูดเช่นนั้นออกมา เพราะยังอยู่ในขั้นตอนการรักษาของแพทย์


ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น กล่าวอีกว่า กรณีเด็กหญิงอายุ 13 ปีนั้น ถ้าสังคมจะมองว่า ตำรวจทำงานช้า ขอยืนยันว่าตำรวจทำงานเต็มที่ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ยังไม่รับเป็นคดีอาญา โดยทำงานร่วมกับทางตำรวจนครบาล ตรวจสอบ GPS ที่ติดในรถตู้ ซึ่งการตรวจสอบก็ตรงกันกับคำให้การของคนขับรถตู้ และรถตู้ก็มีพยานยืนยันหลายคนว่า ไม่ได้มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นแต่อย่างใด ก็ถือว่า ไม่มีคดีนี้ และจบคดีไป  


ทั้งนี้ การทำงานของตำรวจ บางอย่างก็ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพื่อให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ละเอียดรอบคอบที่สุด ในส่วนที่เด็กมีอาการเสียสติและสติแตกนั้น ทางการแพทย์ก็ยังไม่สามารถหาสาเหตุได้ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็อยากทราบคำตอบเช่นกัน เพราะหลังจากย่ามาแจ้งความ ในเบื้องต้นเด็กก็มีอาการสอดคล้องตามที่ย่าพูด ตำรวจมีหน้าที่รับฟังเพื่อนำไปพิสูจน์ทราบ พร้อมทั้งรอว่าเมื่อไหร่ที่เด็กให้การได้ก็จะทราบความจริง ซึ่งตอนนี้เด็กพูดคุยได้และบอกมาหมดแล้ว ก็ทราบความจริงแล้วว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในส่วนของนายเดช เจ้าของรถตู้นั้น ตำรวจไม่เคยบอกว่าเป็นผู้ถูกกล่าวหา และไม่เคยควบคุมตัว หรือแจ้งข้อกล่าวหาแต่อย่างใด ต้องขอขอบคุณนายเดช ที่ขับรถเข้าไปใน สภ.แวงน้อย เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ และให้ความร่วมมือกับตำรวจเป็นอย่างดี 

ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น ยังกล่าวถึงกรณี ย่าเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจนั้น เป็นการแจ้งความเท็จหรือไม่ ยังตอบไม่ได้ เพราะต้องดูที่เจตนาของการแจ้งความก่อน อีกทั้งหลังย่าแจ้งความเด็กก็มีอาการตามที่บอกกล่าวจริง ตำรวจจึงได้ร่วมกันตรวจสอบข้อเท็จจริง ส่วนการตรวจสอบอื่นๆ ก่อนหน้านี้ ตำรวจก็ยังไม่ได้ละเลย เมื่อ ศพฐ.4 ขอนแก่น สรุปผลตรวจออกมา ตำรวจก็ยังต้องทำงานต่อหากพบมีความขัดแย้งกับผลการสอบปากคำตัวเด็ก ก็จะต้องดำเนินการกันไปตามกระบวนการทางกฎหมาย แต่หากตรงกับคำให้การของเด็ก และไม่พบความผิดปกติ ก็ถือว่าคดีนี้จึงจะสิ้นสุดลงเรียบร้อย