น้าเดช คนขับรถตู้ แวงน้อย-กทม. พ้นมลทินกรณีถูกกล่าวหาล่วงละเมิดผู้โดยสารเด็กหญิงวัย 13 ปี เจ้าตัวบอกโล่งใจและไม่คิดเอาผิดใคร หญิงที่นั่งรถไปด้วยและลงรถเป็นคนสุดท้ายช่วยยืนยัน เด็กนั่งหลับ ส่วนคนขับเป็นคนดี ไม่มีเงินก็ให้นั่งรถฟรี ขณะที่ย่าเด็กออกมาขอโทษที่แจ้งความทำให้คนขับเดือดร้อน แต่ยังงงว่าหลานสองคนพี่น้องเสียสติเพราะอะไร
กรณีย่าเด็กหญิง 13 ปี เข้าแจ้งความร้องทุกข์ กล่าวโทษกับตำรวจ สภ.แวงน้อยว่าหลานสาวถูกคนขับรถตู้ข่มขืน และให้ตำรวจทำการสืบสวนจับกุม คนขับรถตู้รายดังกล่าว เพราะหลานสาวเสียสติ ในขณะที่ตำรวจได้ส่งรถตู้ป้ายเหลืองคันที่ เด็กหญิง นั่งไปหาพ่อกับแม่ที่กรุงเทพฯในวันที่ 1 ตุลาคม 2566 พร้อมทั้งสอบปากคำคนขับรถตู้เรียบร้อยและส่งตัวให้ ศพฐ.4 ขอนแก่น เก็บดีเอ็นเอ
โดยการให้ปากคำกับตำรวจ คนขับรถตู้ปฏิเสธว่าไม่ได้ล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิง ส่วนการตรวจรถตู้ป้ายเหลือง ตำรวจสภ.แวงน้อย ได้ส่งให้ ศพฐ.4 ตรวจทั้งในรถและนอกรถ และพบสารเหลวสีแดงในเบาะรถ แต่ต้องรอผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ ว่าสารเหลวสีแดงคืออะไร ขณะที่เด็กหญิงที่ถูกส่งตัวมารักษาต่อที่ รพ.ขอนแก่น เพราะอาการเสียสตินั้น ทางบิดายืนยันว่า อาการลูกสาวดีขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพร้อมด้วยทีมสหวิชาชีพ จึงเข้าสอบสวนเด็กหญิงในรพ.เมื่อบ่ายวันที่ 9 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเด็กหญิงให้การว่า ไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นแต่อย่างใด ภายหลัง ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น ทราบเรื่อง จึงจะมีการแถลงข่าวในช่วงบ่ายของวันที่ 10 พ.ย.นี้
เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 10 พ.ย. 2566 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังอำเภอแวงน้อย เพื่อพูดคุยกับ “น้าเดช” นายเดช นันทวิทยาคม อายุ 49 ปี คนขับรถตู้ แต่ไม่พบตัวได้ จึงทำได้เพียงโทรศัพท์หา น้าเดช หลังทราบผลการสอบสวนล่าสุด น้าเดชบอกว่า รู้สึกดีใจ ขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจและทุกฝ่าย แต่ยังไม่พร้อมให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน เมื่อถามว่า จะเอาผิดกับย่าเด็กหรือไม่ น้าเดช ไม่ตอบ ในขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวก็ได้พูดคุยกับภรรยาของน้าเดช ชื่อ นางสาวหนิง (นามสมมติ) กล่าวว่า หลังทราบข่าวก็รู้สึกโล่งใจ เพราะเชื่ออยู่แล้วว่าสามีไม่ได้ทำ ส่วนการฟ้องร้องกลับหรือเอาผิดกับใครนั้น ยังไม่ได้คุยกันและยังไม่ได้คิด
...
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เข้าพบนางสวย (นามสมมติ) อายุ 63 ปี ย่าของน้องงาม เด็กหญิงวัย 13 ปีที่บ้านพักใน อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น ย่า กล่าวว่า เมื่อวานตำรวจมาสอบปากคำ ก็ยังยืนยันคำให้การตามเดิม ตามคำบอกเล่าของหลานสาว เพราะขณะนั้นยังไม่มีใครบอกผลการสอบสวน แต่หลังจากที่หลานสาวสารภาพต่อหน้าสหวิชาชีพว่า น้าเดชคนขับรถตู้ไม่ได้ก่อเหตุตามที่บอกกับย่า หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ขอโทษคนขับรถตู้ด้วย
“ย่าขอโทษด้วย ย่าไม่มีเจตนาร้าย หรือ คิดปรักปรำ แต่เพราะความเป็นห่วงหลานสาว ก็สื่อสารออกไปอย่างนั้น อีกทั้งอาการของหลานก็ผิดปกติ ตั้งแต่กลับมาจากกรุงเทพฯ หลานคนนี้เลี้ยงมากับมือตั้งแต่เด็กๆ นอนบนเตียงเดียวกันจนถึงทุกวันนี้ ไม่เคยพบว่า มีความผิดปกติทางจิตใจ หรือทางกาย เช่นเดียวกับ พี่ชายที่อยู่ ม.4 ก็พลอยมีอาการทางจิตไปด้วยโดยไม่ทราบสาเหตุ หลานเล่นเกม ติดมือถือเหมือนเด็กทั่วๆไป แต่ไม่ถึงขั้นมีปัญหา จนส่งผลกระทบต่อกิจวัตรประจำวันอื่นๆ ญาติฝ่ายพ่อและแม่ ก็ไม่มีใคร มีอาการลักษณะนี้”
จากการพูดคุยกับชาวบ้านหลายคน ก็ยืนยันตรงกันว่า ก่อนหน้านี้เด็กทั้ง 2 ดูปกติ ไม่เที่ยวเตร่ เถลไถล เลิกเรียนก็กลับบ้าน ไม่ถึงกับเก็บตัว เล่นกับเพื่อนๆ ดูร่าเริงปกติ กระทั่งมีปัญหาหลังกลับจากกรุงเทพฯ
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับ ป้าสุ (นามสมมติ) อายุ 56 ปี ชาว จ.ขอนแก่น มาเช่าบ้านทำงานอยู่ที่พุทธมณฑลสาย 2 และเป็นผู้โดยสารคนสุดท้ายที่นั่งรถตู้คันเดียวกันกับเด็กหญิง 13 ปี ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า เหตุการณ์วันที่ 1 ต.ค.66 ต่อเนื่องคืนที่ 2 ต.ค.66 ป้ายืนยันข้อเท็จจริงตามที่เห็น ซึ่งป้านั่งรถคันเดียวกับเด็กผู้หญิงตลอดเส้นทาง จนกระทั่งป้าลงจากรถเป็นผู้โดยสารคนสุดท้าย ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ คนขับรถตู้ก็ไม่ได้ทำอะไรเด็กหญิงคนนี้เลย โดยป้านั่งอยู่แถวหลังคนขับ ส่วนเด็กผู้หญิงนั่งถัดมาอยู่ด้านหลังของป้า การล่วงละเมิดทั้งการกระทำและคำพูดก็ไม่มีจากคนขับรถตู้ไม่มีเลย คนขับรถตู้ขับมีเพียงขับรถอย่างเดียว ตอนที่ป้าขึ้นรถนั้น ก็เห็นเด็กหญิงนอนอยู่แล้ว กระทั่งรถตู้วิ่งมาตามเส้นทางเข้าสู่ กทม. และเวลาประมาณ 09.30 น. ถึงที่หมายของเด็กหญิง รถตู้จอดส่งถึงหน้าบ้านโดยมีพ่อของเด็กหญิงมาหิ้วกระเป๋าเข้าบ้านไป ไม่ได้มีความผิดปกติอะไร ก่อนที่รถตู้จะขับมาส่งป้าที่พุทธมณฑลสาย 2 ในเวลา 11.30 น.
ช่วงที่รถตู้ขับมานั้น ผู้โดยสารในรถทุกคนนอนหลับกันหมด มีเพียงป้าที่ไม่ได้หลับ เพราะชวนคนขับรถตู้คุยเป็นเพื่อน ถ้าไม่คุยด้วยก็กลัวว่าคนขับจะง่วง เพราะไม่มีคนเปลี่ยนขับ จึงคุยกันกับตนเองทั้งคืน ไม่เคยห่างสายตา ยืนยันว่าคนขับรถตู้ไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่ได้ล่วงละเมิดเด็ก โดยขับรถไปเรื่อยๆ ไม่ได้ขับรถเร็วอะไร และคนอื่นๆ ก็ไม่ได้มีใครไปยุ่งกับน้องเพราะทุกคนนอนหลับทั้งหมด และในช่วงที่รถตู้ขับเดินทางมานั้น มีรถติดช่วงบางนา โดยไปส่งผู้โดยสารอีกคน รถติดอยู่นานประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งเส้นทางดังกล่าวต้องไปส่งคนงานก่อสร้างก่อนจะขับมาส่งผู้โดยสารอีกคน แล้วส่งเด็กหญิงและป้าสุ ลงที่พุทธมณฑลสาย 2 ห่างจากที่น้องลงประมาณ 2 ชั่วโมง
“ส่วนตัวคิดว่าใครเขาจะไปทำอะไรแบบนั้น จะเอาเวลาตรงไหนไปทำ เพราะขับรถอย่างเดียว และคนขับรถก็นิสัยดี ป้าใช้บริการประจำมากว่า 10 ปีแล้ว ป้าไม่มีเงินคนขับรถตู้ก็ขับมาส่งให้ฟรี ใครไม่มีเงินบางครั้งก็เอาเงินให้ ไม่มีเงินเขาก็ช่วย ถนนแคบๆ ที่รถตู้เข้าไปไม่ได้ เขาก็จะจ้างรถเล็กซึ่งเป็นรถโดยสารมารับไปส่งถึงที่ให้ฟรีๆ และมั่นใจว่าคนขับคนนี้นิสัยดีมาก และไว้ใจสามารถฝากของไปกับคนขับรถตู้ได้โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าของจะพังหรือของหาย”