หลวงพ่อวัย 83 เจ้าอาวาสวัดดังใน อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี เที่ยวยืมเงินพระรูปอื่นเดือนนับแสน นานกว่า 2 ปี รวมนับล้านบาท ของเก่าไม่คืนตระเวนยืมของใหม่ พระผู้ใหญ่สงสัยพฤติกรรมแจ้งตำรวจตรวจสอบ พบมีหญิงสาวอยู่เบื้องหลัง อ้างนามสกุลดัง แถมสวมรอยชื่อคนอื่น สุดท้ายโป๊ะแตกทนตำรวจเค้นสอบไม่ไหว-สารภาพสิ้นไส้เป็นแก๊งต้มตุ๋น
เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 7 ก.ค. 66 พระโสภณ พัฒนคุณ เจ้าอาวาสวัดพุน้อย ต.ชอนม่วง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี พร้อมเจ้าคณะอำเภอหนองม่วง และพระภิกษุผู้ใหญ่ในพื้นที่กว่า 10 รูป ได้เดินทางมาที่ สภ.บ้านหมี่ เข้าพบ ร.ต.อ.ทวีศักดิ์ โพลงเงิน รอง สว.(สอบสวน) สภ.บ้านหมี่ เพื่อขอให้ทำการสอบสวน พระครูพิพัฒน์ ลีลวงศ์ (หลวงพ่อสมพงษ์) อายุ 83 ปี เจ้าอาวาสวัดกลางสว่างอารมณ์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลเชียงงา ต.บ้านหมี่ อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี เรื่องเกี่ยวกับการเงิน ซึ่งหลัง พระครูพิพัฒน์ มีพฤติกรรมตระเวนยืมเงินจากพระภิกษุรูปอื่นจากหลายพื้นที่เดือนละนับแสนบาท นานกว่า 2 ปี รวมเป็นเงินกว่าล้านบาท โดยอ้างว่าเอาไปช่วยเหลือคนเดือดร้อน ซึ่งพระที่ตกเป็นเหยื่อเห็นเป็นพระผู้ใหญ่ที่มีคนเคารพนับถือมาก จึงไม่มีใครถือสา แต่ระยะหลังมักหยิบยืมบ่อยแต่ของเก่ายังไม่เอามาคืน จึงเกิดความสงสัยการเงินของ พระครูพิพัฒน์ จนสุดท้ายตำรวจสอบสวนทราบว่า มีความเชื่อมโยงกับหญิงสาวรายหนึ่ง ชื่อ น.ส.อภัสสร สุเชาวนกุล อายุ 39 ปี ชาวจังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นคนขับรถให้ พระครูพิพัฒน์ ซึ่งสวมรอยใช้ชื่อนามสกุลและตำแหน่งหน้าที่ของผู้หญิงอีกคนหนึ่งหลอกลวง พระครูพิพัฒน์ อีกที
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านหมี่ ได้ติดต่อไปยัง น.ส.ชนม์สิตา นิ่มกุล อายุ 40 ปี ชาวจังหวัดอ่างทอง ซึ่งมีตำแหน่งเป็นเลขานุการ อบจ.อ่างทอง และเป็นหลานสาว นายสุรเชษ นิ่มกุล นายก อบจ.อ่างทอง ที่ ถูก น.ส.อภัสสร แอบอ้างชื่อนามสกุลและตำแหน่งหน้าที่การงาน มาสอบถามความจริง
...
เมื่อ น.ส.ชนม์สิตา เดินทางมาที่โรงพักและเห็นหน้า น.ส.อภัสสร ก็ถึงกับอึ้งเมื่อพบว่ามีหน้าตาคล้ายคลึงกับเจ้าตัวมาก แถมอายุยังไล่เลี่ยกันอีก จึงสอบถามถึงเรื่องดังกล่าวว่ามีความเกี่ยวโยงกับตัวเองได้อย่างไร เบื้องต้น น.ส.อภัสสร เอาแต่ร้องไห้แถมให้การวกวน กล่าวเพียงคำขอโทษเท่านั้น และปฏิเสธว่าไม่มีความสัมพันธ์กับพระครูพิพัฒน์และเรื่องเงินทุกกรณี
ต่อมา พระครูพิพัฒน์ ได้เดินทางมาที่ สภ.บ้านหมี่ โดย พ.ต.ท.ณภัทร จินพล สว.สืบสวน สภ.บ้านหมี่ ได้สอบถามถึงเรื่องดังกล่าว พระครูพิพัฒน์ ให้การปฏิเสธถึงความสัมพันธ์กับ น.ส.อภัสสร อ้างเป็นเพียงลูกศิษย์ที่เคยมาทำบุญที่วัดเท่านั้น และเคยจดเบอร์โทรศัพท์เอาไว้ เมื่อเช้าพระลูกวัดและลูกศิษย์วัดติดงานกันหมด จึงได้วานให้ น.ส.อภัสสร ขับรถมารับไปวัดพุน้อย หลังพระโสภณพัฒนคุณ เจ้าอาวาสวัดพุน้อยนัดไว้ เพื่อไปรับเงิน จนเพิ่งมารู้ว่าเป็นคนที่ใช้ชื่อนามสกุลและตำแหน่งหน้าที่การงานคนอื่นมาแอบอ้างเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ ส่วนเรื่องเงินที่ยืมมานั้น อาตมานำมาใช้ส่วนตัว
จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพยายามเค้นสอบ จน พระครูพิพัฒน์ ยอมสารภาพว่าเอาไปช่วยผู้เดือดร้อนจากการถูกดำเนินคดีในข้อหา "พยายามฆ่า" รู้เพียงชื่อ "วาด" เท่านั้น ปัจจุบันติดคุกอยู่ในเรือนจำอ่างทอง วันนี้ต้องมีเงินไปจ่ายเพื่อประกันตัวออกมาสู้คดี จำนวน 350,000 บาท แต่ไม่มีเงินสดจึงใช้หลักทรัพย์ประกัน โดยเขาคิดดอกเบี้ยก่อน 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นเงิน 35,000 บาท หลังจากคนชื่อวาดถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว ก็จะได้เงินคืน เพราะเขาทำธุรกรรมเกี่ยวกับเงินไม่ได้ อาตมาจึงมายืมเงินกับเจ้าอาวาสวัดพุน้อยอีกครั้ง หวังช่วยเหลือคนชื่อวาด และหวังจะได้เงินคืน ซึ่งวันนี้ลูกศิษย์ไม่ว่าง พระบวชใหม่ที่มีรถก็ไม่ว่างอีก จึงต้องวาน น.ส.อภัสสร ขับรถมารับเพื่อไปเอาเงินดังกล่าว
จากการสอบสวนล่าสุด น.ส.อภัสสร ให้การว่า ตนเป็นคน จ.ปทุมธานี โดยอาศัยเปิดดูตามเพจต่างๆ เพื่อหาผู้หญิงที่มีนามสกุลดัง ลักษณะรูปร่างหน้าตาคล้ายกับตน อายุไล่เลี่ยกัน ดูน่าเชื่อถือ จากนั้นก็จะบันทึกและจดจำไว้ใช้หลอกลวง ซึ่งตนเคยเปิดบัญชีธนาคารในนามของผู้อื่นหรือบัญชีม้า แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด และรถที่นำมาขับนั้น ก็เป็นรถเช่ามาจากบริษัทแห่งหนึ่งใน กทม.
ผู้สื่อข่าวรายงนว่า ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสอบสวน น.ส.อภัสสร ได้ให้การต่อหน้า พระครูพิพัฒน์ เจ้าคณะอำเภอหนองม่วง และพระผู้ใหญ่อีกหลายรูป ที่ยืนฟังด้วยความแคลงใจ ซึ่ง พระครูพิพัฒน์ และ น.ส.อภัสสร ยังให้การสับสนวกไปวนมา และยังไม่ยอมรับความจริง
ด้าน พระครูนิเวศน์คุณากร เจ้าคณะตำบลหนองพิกุล วัดหนองพิกุล ต.ชอนสมบูรณ์ อ.หนองม่วง จ.ลพบุรี กล่าวว่า อาตมาเคยถูกยืมเงินหลายครั้ง ครั้งละหมื่นกว่าบาท แต่ไม่เคยได้คืน รวมถึงพระรูปอื่นๆ ที่เจอลักษณะเดียวกันด้วย ซึ่งเป็นเช่นนี้มากว่า 2 ปีแล้ว รวมๆ แล้วน่าจะเกิน 1 ล้านบาท เพราะในแต่ละเดือน พระครูพิพัฒน์ จะออกตระเวนยืมเงินนับแสนบาท โดยทิ้งความสงสัยและความแคลงใจว่าเอาเงินไปทำอะไร วัดก็ไม่ต้องบูรณปฏิสังขรณ์ น้ำไฟก็มี ญาติโยมและไวยาวัจกรจัดการ ซึ่งความสงสัยมากระจ่างในวันนี้ เพราะอาตมาเห็นกับตาได้ยินกับหู อีกทั้งยังมีพระอีกหลายรูปได้ยินด้วยเช่นกัน เนื่องจากถูกกลลวงหญิงสาวกลุ่มนี้หลอก
"อาตมาคิดว่าคงไม่ได้ทำคนเดียว คงทำกันเป็นขบวนการ เพื่อหลอกเอาเงิน เมื่อได้เงินแล้วก็จะไปเปิดบัญชีชื่อ พระครูพิพัฒน์ แต่เอา Username และ ATM ของ พระครูพิพัฒน์ ไปทำธุรกรรมเกี่ยวกับการเงิน ซึ่งในบัญชี พระครูพิพัฒน์ ขณะนี้มีเงินติดอยู่เพียง 100 กว่าบาทเท่านั้น ซึ่งเจ้าตัวหวังว่าจะได้เงินคืนจากความช่วยเหลือและความเมตตาด้วย" พระครูนิเวศน์คุณากร กล่าว
...
ด้าน พระโสภณพัฒนคุณ เจ้าอาวาสวัดพุน้อย เจ้าคณะอำเภอหนองม่วง กล่าวว่า อาตามาได้ทำการสอบถาม พระครูพิพัฒน์ และ น.ส.อภัสสร ด้วยตัวเอง แต่ก็ถูกปฏิเสธ ซึ่งคำตอบล้วนขัดแย้งกับพยานหลักฐานที่ได้ในวันนี้ ซึ่งคล้ายผู้ร้ายปากแข็ง ไม่รู้บาปบุญคุณโทษ ซึ่งคงได้ทำการหลอกลวงพระสูงวัยมาแล้วหลายครั้ง อาตมาพยายามสืบสาวราวเรื่องก็ไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน จนมาทราบความจริงในวันนี้
"รู้สึกผิดหวังกับหลวงพ่อมาก ที่อายุปูนนี้แล้วน่าจะพักผ่อน หลังจากนี้ต่อไปนี้เมื่อคนโกงถูกดำเนินคดี หลวงพ่อคงอยู่ดีมีสุขในบั้นปลายชีวิต ตนและพระรูปอื่นๆ ก็จะไม่ต้องมาหวาดระแวงกับการขอยืมเงินอีกต่อไป ซึ่ง น.ส.อภัสสร เมื่อได้ฟังก็ได้แต่ร้องไห้ และมองหน้า พระครูพิพัฒน์ ไปมา" พระโสภณพัฒนคุณ กล่าว
ส่วนทาง น.ส.ชนม์สิตา นิ่มกุล ได้ทำการแจ้งความเอาผิดกับ น.ส.อภัสสร ในข้อหา "แอบอ้างชื่อและแสดงตัวเป็นผู้แจ้ง ไปแสดงตัวต่อผู้อื่น" พาพระไปขอยืมเงินพระที่วัดพุน้อยเป็นเหตุให้ผู้แจ้งได้รับความเสียหาย จากนั้นพนักงานสอบสวน และตำรวจงานสืบสวนได้คุมตัว พระครูพิพัฒน์ และ น.ส.อภัสสร ไว้ที่ สภ.บ้านหมี่ก่อน เพื่อทำการสอบสวนถึงขบวนการดังกล่าว และสาเหตุที่แท้จริงอย่างละเอียดอีกครั้งต่อไป