"อัจฉริยะ" ร้องกองปราบ เอาผิด "พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ" ม.149 หลังเชื่อว่ามีการเรียกรับเงินจากเจ้าของเว็บพนัน คิงพิน 88 มั่นใจดิ้นไม่หลุดแน่นอน ปม ปลอมเอกสารลักรถหรูอดีต "ผกก.โจ้ ถุงดำ" ไปขาย เผยเจ้าตัวฝากบอก "อย่าสตรอว์เบอร์รีมาก"
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 7 เมษายน 2566 ที่ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เข้าพบ พ.ต.ท.พงศ์ปณต บัวแก้ว รอง ผกก.สอบสวน กก.4 บก.ปปป. เพื่อแจ้งความเอาผิด พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ปปง. ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับสินบน หลังเชื่อว่ามีการเรียกรับเงินจากเจ้าของเว็บพนันออนไลน์คิงพิน 88
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า สาเหตุที่มาวันนี้เนื่องจากได้รับหลักฐานเป็นสลิปโอนเงินหน้าเคาน์เตอร์ธนาคาร ระบุว่า เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2564 นายภาคิน เจ้าของเว็บพนันออนไลน์คิงพิน 88 ได้โอนเงินให้กับ พล.ต.ต.เอกรักษ์ จำนวน 560,000 บาท จากหลักฐานนี้ เชื่อได้ว่า พล.ต.ต.เอกรักษ์ รับสินบนจากเว็บพนันออนไลน์ เนื่องจากกลุ่มพนันออนไลน์นี้ เคยถูกตำรวจภาค 6 จับกุมช่วงปี 2564 จึงไปขอความช่วยเหลือกับ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ที่ในขณะนั้นเป็นรองผู้บังคับบัญชาตำรวจภูธรภาค 6 ซึ่ง พล.ต.ต.เอกรักษ์ ได้ให้คำปรึกษาเรื่องย้ายสถานที่ทำเว็บพนันออนไลน์มาอยู่ที่บริษัทโรงพิมพ์ของภรรยาในพื้นที่ย่านบางขุนเทียน โดยจ่ายค่าเช่าเดือนละ 1,500,000 บาท 18 เดือน รวมเป็นเงิน 27 ล้านบาท และเงินที่โอนให้ 560,000 บาทนี้ถือว่าเป็นสินบน
นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่า ต่อมา วันที่ 8 มิถุนายน 2565 ตำรวจ สน.บางขุนเทียน ได้นำหมายศาลบุกค้นโรงพิมพ์ภรรยา พล.ต.ต.เอกรักษ์ จับกุมนายภาคิน พร้อมพวกรวม 3 คน ซึ่งทั้งหมดได้ประกันตัวออกมา โดยตอนนี้คดีค้างมาแล้ว 2 ปียังไม่มีความคืบหน้า ตนมีข้อมูลว่า พล.ต.ต.เอกรักษ์ ได้ไปปรึกษาตำรวจยศ พล.ต.อ.นายหนึ่ง เมื่อ 2 วันก่อน หลังรู้ว่าจะถูกแฉเรื่องสลิปโอนเงินใบนี้ เชื่อว่าท้ายที่สุด พล.ต.ต.เอกรักษ์ อาจมีการอ้างว่าเงินจำนวนนี้เป็นเงินซื้อขายรถยนต์กับนายภาคิน แต่ตนก็มั่นใจว่าเอาผิดได้แน่นอน
...
นายอัจฉริยะ ยังได้กล่าวถึงกรณีที่เมื่อวันที่ 5 เมษายน ได้รับมอบอำนาจจาก พ.ต.อ.ธิติสรรค์ หรือ "ผู้กำกับโจ้" อุทธนผล อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ มาแจ้งความเอาผิด พล.ต.ต.เอกรักษ์ กับลูกชายและพวก ฐานร่วมกันลักรถยนต์ไปขายและปลอมแปลงเอกสาร ซึ่งการมาเมื่อวันก่อนยังไม่ได้ให้ปากคำ เพราะเอกสารยังไม่ครบ แต่วันนี้ได้รวบรวมหลักฐานมาเพิ่มเติม โดยมีเอกสารยืนยันว่า รถทั้ง 13 คัน เคยอยู่ในความครอบครองของอดีตผู้กำกับโจ้จริง และมีเอกสารข้อมูลประวัติการโอนขายต่อทั้งหมด รวมทั้งเอกสารมอบอำนาจ เอกสารแต่งตั้งทนาย รวมหลายแฟ้ม รวมถึงไฟล์คลิปเสียงการสนทนาระหว่างน้องสาวอดีตผู้กำกับโจ้กับผู้กองเบิร์ด ลูกชายของพล.ต.ต.เอกรักษ์ ทั้งนี้ผู้กองเบิร์ด ยืนยันว่า เอารถแคมรี่สีเขียวของอดีตผู้กำกับโจ้ไป และยังบอกด้วยว่า เอาคันไหนให้ใครไปบ้างยืนยันว่า หลักฐานที่นำมาครั้งนี้ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ดิ้นไม่หลุดแน่นอน
โดยนายอัจฉริยะ ยังได้โชว์เอกสารจากกรมการขนส่งทางบกที่ใช้โอนรถกระบะทะเบียน จจ 3500 ของอดีตผู้กำกับโจ้ โดยนายอัจฉริยะ ระบุว่า เอกสารนี้เป็นการปลอมลายเซ็นของอดีตผู้กำกับโจ้ โดยไม่มีลายเซ็นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์กำกับ อีกทั้งที่อยู่ของอดีตผู้กำกับโจ้ที่ระบุในเอกสารนี้ไม่ตรงกับบัตรประชาชน และท้ายเอกสาร ทนายณัฐ ยังเขียนระบุว่า น้องสาวของอดีตผู้กำกับโจ้เป็นคนเซ็นเอกสารการโอนกรรมสิทธิ์ต่อหน้าทนายความ ทั้งที่ความจริงแล้ว ทนายณัฐไปหลอกให้น้องสาวอดีตผู้กำกับโจ้ เซ็นกระดาษเปล่า เอกสารนี้จึงเป็นการเขียนข้อความเท็จ
นายอัจฉริยะ ยังกล่าวอีกว่า ที่ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ชี้แจงกับสื่อว่า ทะเบียนรถ อต55 ที่นำมาสวมรถตู้ BENZ VITO นั้น เป็นการเก็บป้ายทะเบียนไว้คืนอดีตผู้กำกับโจ้ เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เพราะถ้าจะคืนป้ายให้จริง ทำไมไม่คืนให้น้องสาวอดีตผู้กำกับโจ้ ที่เป็นผู้ได้รับมอบกรรมสิทธิ์ดำเนินการเรื่องรถแทน และเรื่องนี้ผ่านมาหลายปีแล้ว มองว่าตอนนี้ พล.ต.ต.เอกรักษ์ กำลังเมาหมัด เพราะโดนหลายเรื่อง พูดไม่เหมือนกันสักวัน
สำหรับเรื่องไทม์ไลน์ของการลักรถไปขาย นายอัจฉริยะ อธิบายว่า รถทั้ง 13 คันนั้น มี 2 คัน จอดอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ ส่วนอีก 8 คัน อยู่ที่กรุงเทพมหานคร ส่วนหนึ่งจอดอยู่ที่บ้านของอดีตผู้กำกับโจ้ย่านรามอินทรา โดยในวันที่ตำรวจกองปราบปรามเข้าไปค้นบ้านช่วงสิ้นเดือนสิงหาคม ก่อนอดีตผู้กำกับโจ้จะมอบตัว แล้วบอกว่าเจอรถ 29 คันนั้น ไม่ได้มีรถกลุ่มที่ถูกเอาไปขายรวมอยู่ด้วย เพราะตำรวจกองปราบดูเฉพาะรถหรูเท่านั้น จากนั้นพออดีตผู้กำกับโจ้ถูกควบคุมตัวเข้าเรือนจำ วันที่ 1 กันยายน 2564 ขบวนการนี้จึงเข้าไปลักรถนำออกมาขาย พอวันที่ 15 กันยายน 2565 ตำรวจเข้าไปค้นอีกครั้ง ทำให้ไม่เจอแล้ว ก่อนที่ภายหลัง ป.ป.ช. มีคำสั่งให้อายัดรถ 7 คัน ในจำนวน 13 คัน ทำให้ตอนนี้ยังมีอีก 6 คันที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน
นายอัจฉริยะ บอกว่า เรื่องนี้อดีตผู้กำกับโจ้เคยแต่งตั้งทนายความให้ไปร้องทุกข์ที่ สน.คันนายาว มาแล้วตั้งแต่ปี 2565 แต่ไม่มีความคืบหน้า จนครอบครัวร้อนใจ มาขอความช่วยเหลือจากตน และเมื่อเช้านี้ตนได้เข้าไปหาอดีตผู้กำกับโจ้ในเรือนจำ ซึ่งอดีตผู้กำกับโจ้ ฝากบอกไปยัง พล.ต.ต.เอกรักษ์ว่า “อย่าสตรอว์เบอร์รีมาก” และที่ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ทำกับเขายังมีอีกเยอะ” นอกจากนี้ นายอัจฉริยะ ยังบอกว่า หาก พล.ต.ต.เอกรักษ์ อยากจะฟ้องดำเนินคดีกับตน ก็ทำได้เลย
ส่วนกรณีที่ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ได้ไปฟ้องตนที่ศาลอาญา ในความผิดที่เกี่ยวข้องกับการหมิ่นประมาท และมีนัดหมายขึ้นไต่สวนวันที่ 19 มิถุนายน นี้ ซึ่ง พล.ต.ต.ธีรเดช ได้โพสต์ข้อความท้าทายนายอัจฉริยะว่าอย่าเลื่อน อย่าหนี เรื่องนี้ นายอัจฉริยะ ชี้แจงว่า ตนไม่ได้ให้สัมภาษณ์หมิ่นประมาท ว่า พล.ต.ต.ธีรเดช เกี่ยวข้องกับเรื่องยาเสพติด แต่เป็นเรื่องที่ห้ามไม่ให้พนักงานสอบสวนทำคดี สว. คนดัง เท่านั้น และยืนยันว่าวันนัดไต่สวนจะเดินทางไปด้วยตัวเอง และจะนำพยานหลักฐานไปยื่นเพื่อมัดตัว พล.ต.ต.ธีรเดช ด้วย
...