"อัจฉริยะ" ร้องกองปราบ เอาผิด "พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ" ร่วมกับ "หมวดเบิร์ด" ลูกชาย ปลอมเอกสารลักรถหรูอดีต "ผกก.โจ้ ถุงดำ" ขาย 13 คัน รวมมูลค่ากว่า 25 ล้าน รวมป้ายทะเบียนรถราคาแพง

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 5 เมษายน 2566 ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เข้าพบ ร.ต.อ.หญิง สไบนาง ศิริมนตรี รอง สว.สอบสวน กก.1 บก.ป. เพื่อแจ้งความเอาผิด ขบวนการร่วมกันลักทรัพย์รถยนต์ของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผกก.โจ้ อดีตผู้กำกับ สภ.เมืองนครสวรรค์ ในข้อหา "ร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถาน, ร่วมกันรับของโจร, ร่วมกันปลอมเอกสารราชการ และใช้เอกสารราชการปลอม" โดยนำเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง อาทิ หนังสือมอบอำนาจจาก พ.ต.อ.ธิติสรรค์ ใบแต่งตั้งทนายความ และเอกสารแชตไลน์ รายงานลงบันทึกประจำวัน ที่ สน.ตลิ่งชัน มามอบให้ พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน

นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ได้รับมอบอำนาจจาก พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผกก.โจ้ อดีตผู้กำกับ สภ.เมืองนครสวรรค์ ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ให้มาดำเนินคดีกับขบวนการที่ร่วมกันลักรถยนต์ของ ผกก.โจ้ ไปขาย โดยมี พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ และลูกชายที่เป็นตำรวจ เป็นตัวการ ร่วมกับทนายความ และบริษัทสินเชื่อรถยนต์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ขนส่งทางบกที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เนื่องจากเมื่อปี 2564 หลัง ผกก.โจ้ ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำแล้วนั้น

พล.ต.ต.เอกรักษ์ ขณะนั้นเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 รับผิดชอบดูแลคดีนี้ ได้บอกว่าจะจัดการทุกอย่าง รวมถึงหาทนายความให้ แต่ต่อมา พล.ต.ต.เอกรักษ์ กับลูกชาย กลับร่วมกันปลอมเอกสารเพื่อลักรถที่เก็บไว้ที่จังหวัดนครสวรรค์ 2 คัน และที่บ้านรามอินทราอีก 11 คัน ประกอบด้วย รถยนต์ยี่ห้อ Toyota Camry, BMW, Porsche, Volkswagen, Ford รวมมูลค่ากว่า 25 ล้านบาท และเป็นป้ายทะเบียนรถราคาแพง ไปขายต่อ เพราะเห็นว่าด้วยอัตราโทษ ผกก.โจ้ นั้นไม่น่าจะได้ออกมาจากเรือนจำแล้ว

นายอัจฉริยะ อธิบายที่มาที่ไปของเรื่องนี้ว่า เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2564 ผกก.โจ้ ได้มอบอำนาจให้ น.ส.จูน น้องสาว เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ มีอำนาจทำสัญญาซื้อขายรถยนต์ และรับเงินค่าซื้อขายรถยนต์แทน โดยมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เซ็นรับรองเอกสาร ต่อมา ทนายณัฐ ทนายความของ ผกก.โจ้ ได้แชตมาหาน้องสาวของ ผกก.โจ้ ซึ่งตอนนั้นไม่ได้ติดต่อกับพี่ชายเพราะเป็นช่วงโควิด-19 โดยทนายณัฐ ได้หลอกน้องสาวว่า ให้ถ่ายเอกสารสำเนาบัตรประชาชน ระบุว่าใช้ซื้อขายโอนรถยนต์ของ ผกก.โจ้ พร้อมให้เซ็นใบซื้อขายรถยนต์ ที่เป็นเอกสารเปล่ายังไม่ได้กรอกรายละเอียด จำนวน 10 ชุด แต่หลังจากเมื่อน้องสาวสามารถติดต่อกับ ผกก.โจ้ ได้ จึงรู้ว่าถูกหลอกให้เซ็น เพราะ ผกก.โจ้ บอกว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะขายรถยนต์ น้องสาวจึงแชตไลน์ทวงถามไปยังทนายณัฐ ขอเอกสารที่เซ็นไปกลับคืนมา พร้อมกับไปลงบันทึกประจำวันเอาไว้ ซึ่งทนายณัฐได้ตอบกลับน้องสาว ผกก.โจ้ ว่า เอกสารทั้งหมด ได้ส่งให้ ร.ต.อ.ภานุรุจ ลิ้มสังกาศ รอง สว.สอบสวน สน.ทองหล่อ หรือ เบิร์ด ลูกชายของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ แล้ว นอกจากนี้ ยังมีแชตที่ลูกชาย พล.ต.ต.เอกรักษ์ ตอบว่า รับทราบแล้วว่าน้องสาว ผกก.โจ้ มาขอเอกสารคืน พร้อมพิมพ์บอกรายละเอียดว่ามีรถอะไรบ้างที่เอาไปโอนขายแล้ว

...

นายอัจฉริยะ ยังได้เปิดเผยอีกว่า สำหรับเอกสารเกี่ยวกับการเซ็นโอนขายรถยนต์ และเอกสารเกี่ยวกับการจดทะเบียนชื่อผู้ครอบครองรถของ ผกก.โจ้ ซึ่งเป็นชื่อของลูกชาย พล.ต.ต.เอกรักษ์ ทั้งหมดเป็นเอกสารที่มีการปลอมแปลงขึ้นมา และมีการปลอมลายมือชื่อของ ผกก.โจ้ จะสังเกตเห็นว่า ลักษณะการเซ็นไม่เหมือนกัน และการที่ ผกก.โจ้ อยู่ในเรือนจำ ต้องมีลายเซ็นของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์รับรองด้วย แต่ในเอกสารนี้ไม่มี ซึ่งเชื่อได้ว่า ขบวนการนี้มีบริษัทสินเชื่อรถยนต์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ขนส่งร่วมมือด้วยในการปลอมแปลงเอกสาร

นายอัจฉริยะ ยังเปิดเผยรูปภาพจากเฟซบุ๊กของลูกชาย พล.ต.ต.เอกรักษ์ ที่โพสต์รูปขายรถ ที่เป็นรถของ ผกก.โจ้ โดยมีการนำป้ายทะเบียนอื่นมาสวม และยังมีรูปรถเบนซ์ของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ที่นำป้ายทะเบียนของรถ ผกก.โจ้ ไปสวมด้วย นอกจากนี้ตนยังมีหลักฐานอื่นอีกจำนวนมาก ทั้งไฟล์วิดีโอ ไฟล์เสียง และแชตไลน์ ที่ยืนยันว่าลูกชายของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ นำรถของ ผกก.โจ้ ไปขายจริง โดยก่อนหน้านี้ น้องสาวของ ผกก.โจ้ได้พยายามทวงถาม ลูกชาย พล.ต.ต.เอกรักษ์ บอกว่าจะเอาเงินมาคืนให้ แต่สุดท้ายเงียบหายไป

นายอัจฉริยะ ยังกล่าวอีกว่า พล.ต.ต.เอกรักษ์ ควรจะลาออกจากตำแหน่ง รองเลขาธิการ ปปง. ได้แล้ว เพราะมีเรื่องที่กระทำไม่เหมาะสมอีกมาก ผกก.โจ้ ได้เล่าให้ตนฟังในเรือนจำว่า พล.ต.ต.เอกรักษ์ ทำอะไรไว้บ้าง ตนจะเก็บข้อมูลไว้เปิดเผยต่อไปหลังจากนี้ รวมถึงเรื่องที่ภรรยาของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ไปเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ด้วย ตนมั่นใจว่า พล.ต.ต.เอกรักษ์ ไม่มีทางรอด โดยจะไปร้องที่ ป.ป.ช. พร้อมฝากบอกว่า ที่ไปแจ้งความตนที่ สน.พหลโยธิน เป็นแค่เรื่องเด็กๆ แต่ที่ตนมาแจ้งกองปราบครั้งนี้เป็นของแท้.