ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี พิพากษาคดีค้าประเวณีเด็กชุดแรก จำคุก 2 แม่เล้า 314 ปี สารภาพลดกึ่งหนึ่ง และเหลือจำคุกจริงตามกฎหมาย 50 ปี ชดใช้สินไหม 3 ล้าน เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลผู้ซื้อบริการเจอ 24 ปี ลดเหลือ 12 ปี ส่วนลูกชายอดีตนักการเมืองอยู่ระหว่างสืบพยานในชั้นศาล
เวลา 09.00 น. วันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 5 ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ศาลได้ออกนั่งพิจารณาอ่านคำพิพากษาคดีค้ามนุษย์ ที่พนักงานอัยการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นโจทก์ฟ้องนางสาวรุ่งฤดี แซ่เบา หรือ เจ๊น้ำ จำเลยที่ 1 นางสาวตฤษณา หรือ เฟย์ จันทร์แก้ว จำเลยที่ 2 และนายสุริยันต์ รักกะเปา จำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ คม 5/2565 ข้อหา กระทำชำเรา อนาจาร ความผิดเกี่ยวกับเพศ ความผิดต่อเสรีภาพ ความผิดต่อพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ความผิดต่อพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี ความผิดต่อพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก โดยนางสาวรุ่งฤดี และ นางสาวตฤษณา เป็นแม่เล้าร่วมกันเป็นธุระจัดหาเด็กอายุตั้งแต่ 13 ปี ถึง 18 ปีเศษ ให้ค้าประเวณีแก่ลูกค้าซี่งเป็นกลุ่มข้าราชการและนักธุรกิจในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นผู้ซื้อประเวณี จำเลยทั้ง 3 ให้การรับสารภาพ
ศาลพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551, พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 การกระทำของจำเลยทั้ง 3 เป็นการกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฐานสมคบกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ ซึ่งกระทำแก่บุคคลอายุไม่เกิน 15 ปี รวม 7 กระทงรวมโทษทุกกระทงเป็นจำคุกคนละ 314 ปี จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 157 ปี แต่เมื่อรวมโทษจำคุกทุกกระทงของจำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้ว คงให้จำคุกคนละ 50 ปี
...
จำเลยที่ 3 ฐานร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร รวมโทษทุกกระทง 6 กระทงเป็นจำคุก 24 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 12 ปี
ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์แก่ ผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 600,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 2 จำนวน 300,000 บาท แก่ผู้เสียหาย ที่ 3 จำนวน 600,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 4 จำนวน 500,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 6 จำนวน 550,000 และแก่ผู้เสียหายที่ 7 จำนวน 450,000 บาท รวม 3 ล้านบาท
อนึ่ง คดีนี้เดิมพนักงานอัยการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ฟ้องจำเลยกับพวกรวม 29 คน เป็นคดี คม 1/2565 และคดี คม 2/2565 ต่อมาจำเลยทั้ง 3 ให้การรับสารภาพ ศาลจึงมีคำสั่งให้แยกฟ้องเฉพาะจำเลยทั้ง 3 เป็นคดีใหม่ ส่วนคดี คม 1/2565 และคดี คม 2/2565 ปัจจุบันอยู่ระหว่างสืบพยานล่วงหน้าโดยกำหนดนัดสืบพยานโจทก์และสืบพยานจำเลยให้แล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2566 ซึ่งมีลูกชายอดีตนักการเมืองอยู่ในชุดนี้
สำหรับ คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อต้นปี 2564 หลังตำรวจ สภ.ขุนทะเล จ.สุราษฎร์ธานี เข้าให้การช่วยเหลือเด็กหญิงอายุ 13 ปี ที่ถูกกลุ่มแม่เล้าบังคับให้ขายบริการ ต่อมา พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ในขณะดำรงตำแหน่ง ผช.ผบ.ตร. และรอง ผอ.ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) ร่วมกับตำรวจ ภ.จว.สุราษฎร์ธานี เข้าขยายผลและให้การช่วยเหลือเหยื่อเป็นเด็กหญิงอายุระหว่าง 13-18 ปี ได้ 10 คน และสืบสวนขยายผลจับกุมนางสาวรุ่งฤดี และนางสาวตฤษณา ที่ผู้เสียหายให้การซัดทอดว่าเป็นแม่เล้า
ต่อมา ได้ขยายผลจับกุมผู้ซื้อบริการ จำนวน 29 คน มีผู้ต้องหาเป็นบุคคลทั้งข้าราชการครู, นายแพทย์, ทหารและลูกชายอดีตนักการเมือง ซึ่งพนักงานอัยการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ยื่นฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี รวมทั้งสิ้น 5 คดี ตามที่พนักงานสอบสวนส่งฟ้อง โดย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ระบุพบมีข้าราชการระดับสูงสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กสุราษฎร์ธานี เข้ามาเกี่ยวข้องในคดีเพื่อให้การช่วยเหลือผู้ต้องหาได้ถูกแจ้งข้อหาขัดขวางกระบวนการสอบสวนสืบสวนกระบวนการค้ามนุษย์และแทรกแซง รวมถึงความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ม.157 ซึ่งการพิพากษาในคดีแรก ผู้ต้องหาเป็นผู้ซื้อบริการและเป็นเจ้าหน้าที่สังกัดโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งใน จ.สุราษฎร์ธานี.