ตำรวจพีซีที รวบหนุ่มสมุทรสาคร พนักงานสาย 3 แก๊งคอลเซ็นเตอร์ประตูดำ ปลอมเป็น ผกก.สภ.เมืองเชียงราย หลอกผู้เสียหายหลายรายโอนเงินสูญกว่า 150 ล้าน เผยบอสไต้หวันไว้ใจมาก เร่งขยายผลเพิ่มอีก 57 ราย

ที่กองบังคับการศูนย์สืบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 29 ต.ค. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 5 PCT และตำรวจ PCT 5 ร่วมกันจับกุมตัวนายชลวิชา ปานสมุทร หรือเบียร์ อายุ 32 ปี ชาว จ.สมุทรสาคร เครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้างตัวเป็น ผกก.สภ.เมืองเชียงราย ทำหน้าที่เป็นพนักงานสาย 3 ตามหมายจับศาลอาญาที่ 2298/2565 ลงวันที่ 28 ต.ค.65 ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันอั้งยี่, ร่วมกันเป็นซ่องโจร, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันโดยทุจริตฯ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จฯ และร่วมกันฟอกเงินฯ พร้อมตรวจยึดทรัพย์สินประกอบด้วยสมุดบัญชีธนาคาร 2 เล่ม, แหวน กำไล และสร้อยโลหะคล้ายทองคำ น้ำหนัก รวม 8 บาท 3 สลึง, นาฬิกาข้อมือ 2 เรือน,เงินสด จำนวน 2,619 บาท, ธนบัตรสกุลเงินดอลลาร์ 1 ดอลลาร์, ธนบัตรสกุลเงินเรียล 16,500 เรียลกัมพูชา, โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง รวมของกลางที่ตรวจยึดได้ 16 รายการ โดยจับกุมได้บริเวณลานจอดรถ ร้านเค้กบ้านสวน (ขาเข้าสระบุรี) ต.สนับทึบ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2565 เวลา 18.00 น.

โดยในการแถลงข่าววันที่ ตำรวจได้นำผู้เสียหายชาย เป็นนักลงทุนหุ้น ที่ถูกหลอกเงินไป 45 ล้านบาท มาร่วมฟังเสียงของผู้ต้องหาที่โทรศัพท์เข้ามาอ้างตัวเป็น ผกก.สภ.เชียงราย โดยผู้เสียหายยืนยันว่าเป็นเสียงเดียวกันกับที่หลอกลวงตน นอกจากนี้ ยังได้โทรศัพท์หาแพทย์หญิงรายหนึ่งที่ จ.ชุมพร ที่ถูกผู้ต้องหารายนี้ เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงเงินให้โอนเงินจำนวน 101 ล้านบาท โดยแพทย์หญิงผู้เสียหายยืนยันว่าเป็นบุคคลเดียวกันที่โทรศัพท์มาหลอกลวงเช่นกัน

...

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 5 PCT กล่าวว่า สืบเนื่องจากคอลเซ็นเตอร์มีการแพร่ระบาดอย่างหนักในประเทศไทย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ให้ความสำคัญกับการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นอันดับหนึ่ง ทั้งนี้มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใช้การหลอกลวงเป็นพนักงานขนส่งบริษัทเอกชน เรื่องพัสดุผิดกฎหมาย และหลอกเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ “สภ.เมืองเชียงราย” มีที่ตั้งอยู่ที่ ตึกประตูดำ 8 ชั้น ซอยวัดตาด เมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา หรือที่เรียกกันว่า “ตึกประตูดำ” ซึ่งต่อมา ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5 ได้สืบสวนขบวนการนี้เก็บข้อมูลบุคคลภายในตึกเป็นเวลากว่า 6 เดือน พบว่าเมื่อวันที่ 22 ก.ค.65 ได้มีผู้เสียหายได้ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์นี้หลอกลวง มูลค่าความเสียหาย 45 ล้านบาท และเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 65 ได้มีผู้เสียหายซึ่งเป็นแพทย์หญิงถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงอีก 101,871,381 บาท จึงรวบรวมพยานหลักฐานยื่นต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 58 หมายจับ

ผบก.สส.บช.น. หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 5 PCT กล่าวว่า ต่อมาวันที่ 12 ก.ย.65 พล.ต.อ.วรรณวีระ สม ผู้ช่วย ผบ.ตร./ผบช.กองบัญชาการรักษาความมั่นคงภายใน ตำรวจกัมพูชา และคณะ ได้เดินทางมาพบ ผบ.ตร. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ วางแนวทางหารือเพื่อปฏิบัติการทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว และมีพยานหลักฐานยืนยันได้ว่า ผู้ที่หลอกลวงให้โอนเงินในขั้นตอนสุดท้าย หรือเรียกว่าสายสามทั้ง 2 คดีนี้ ได้เงินไปกว่า 150 ล้านบาท คือ นายชลวิชา ปานสมุทร หรือเบียร์ ผู้ต้องหาซึ่งทำหน้าที่เป็นพนักงานสาย 3 ที่ปลอมเป็น ผกก.สภ.เมืองเชียงราย ในขบวนการนี้ ได้รวบรวมพยานหลักฐานจนนำมาสู่การออกหมายจับ ผู้ต้องหาตามหมายจับดังกล่าว

พล.ต.ต.ธีรเดช จึงได้ประสานงานเร่งรัดให้ทางการประเทศกัมพูชาดำเนินการ กระทั่งเมื่อวันที่ 17 ต.ค.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจ PCT ได้เดินทางไปยังเมืองปอยเปต ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจประเทศกัมพูชา เข้าปฏิบัติการทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ประตูดำ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงได้พบว่าหัวหน้าชาวไต้หวันได้สร้าง “ทางลับ” นำพาพนักงานคอลเซ็นเตอร์คนไทย หลบหนีออกไปจากตึกระหว่างที่เจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจค้น โดยนายชลวิชาหลบหนีออกจากตึกไปได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ PCT 5 ได้ไล่ติดตามจนสืบทราบว่า นายชลวิชาเดินทางกลับไทย และถูกติดตามจับกุมตัวในที่สุด

นายชลวิชา ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาว่า ได้ร่วมกันกับพวก หลอกลวงผู้เสียหายจริง โดยเริ่มต้นข้ามไปประเทศกัมพูชาทางช่องทางธรรมชาติ เพื่อทำงานเป็นแอดมินเว็บพนันที่เมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา โดยทำเรื่อยมาตั้งแต่เดือน พ.ย. 2564 ซึ่งช่วงเดือน ก.พ. 2565 ถูกย้ายตึกทำงานประตูดำ และได้เริ่มหลอกลวงเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์สาย 2 อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเชียงราย ยศร้อยตำรวจโท แต่เมื่อทำมาได้ระยะหนึ่ง หัวหน้าชาวไต้หวัน ได้เห็นถึงความสามารถในการหลอกลวงจึงได้เลื่อนขั้นเป็นเจ้าหน้าที่สาย 3 อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง ยศ พ.ต.อ โดยหลอกลวงผู้เสียหายว่า ผู้เสียหายมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจับกุมคดีของนายจักรพงศ์ รือเสาะ

...

"รูปแบบการโทร พนักงานสาย 1 จะทำหน้าที่อ้างเป็นพนักงานหรือบริษัทขนส่งเกี่ยวกับการส่งสิ่งของผิดกฎหมาย ส่วนสาย 2 อ้างเป็นร้อยเวรเจ้าของคดีและเก็บรวบรวมข้อมูลของผู้เสียหายส่งต่อให้สาย 3 ที่อ้างตัวเป็นผู้กำกับหรือรองผู้กำกับ เพื่อปิดยอด ส่วนวิธีการหลอกปลอมเป็นตำรวจจะมีทีมงานนำสคริปต์สนทนา การเจรจาพูดคุยที่แปลเป็นภาษาไทย จึงหัดอ่าน พร้อมพูดคุยกับเพื่อนทีมงาน หากทำยอดได้มากถึง 1 ล้านบาท ทางตัวการใหญ่จะมีการจัดงานเลี้ยงโดยเฉพาะหมูกระทะ เนื่องจากเป็นอาหารที่พิเศษสุด เพราะทีมงานไม่สามารถออกไปด้านนอกได้" ผู้ต้องหา แก๊งคอลเซ็นเตอร์ กล่าว

นายชลวิชา กล่าวต่อว่า ตั้งแต่ทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จนสามารถหลอกลวงผู้เสียหายได้ประมาณ 7-8 ล้านบาทต่อเดือน และเคสใหญ่ๆ ที่ตนหลอกได้มี 3 ครั้ง คือ 1.ช่วงประมาณ เดือน เม.ย.2565 หลอกลวง ข้าราชการครูเกษียณ ได้ประมาณ 11 ล้านบาท 2.ช่วงประมาณ เดือน ก.ค.2565 หลอกลวง นักลงทุนหุ้น ได้ประมาณ 45 ล้านบาท และ 3.ช่วงประมาณ ต้นเดือน ต.ค. 2565 หลอกลวง แพทย์หญิง ที่ จ.ชุมพร ได้ 101 ล้านบาท

นายชลวิชา กล่าวอีกว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์มีพนักงานเป็นคนไทยประมาณ 50-60 คน ช่วง 1-3 เดือนแรก จะได้เงินเดือนประมาณ 20,000 บาท แต่ภายหลังเป็นพนักงานเก่า จึงได้ปรับเงินเดือนเพิ่มเป็น 30,000 บาท และได้ค่าคอมมิชชั่นจากการหลอกลวง 3% และคอมมิชชั่นล่าสุดที่สามารถหลอกลวงได้ 101 ล้าน ได้เงินสดมากกว่า 2.5 ล้านบาท และเคสเก่าที่เคยหลอกลวงได้ 40 ล้านบาท ตนได้เงินประมาณ 1,400,000-1,500,000 บาท และเคสเก่าที่เคยหลอกลวงได้ 10 ล้านบาท ได้เงินสด 300,000 บาท โดยรวมทั้งหมดที่ทำงานมาได้เงินมาทั้งหมดประมาณ 4,000,000 บาท โดยตอนหลบหนีกลับมาที่ประเทศไทยได้พกเงินสดติดตัวไว้ 600,000 บาท เมื่อกลับมาถึงประเทศไทยตนได้นำเงินมาใช้สร้างบ้านรวมประมาณ 1 ล้านบาท แบ่งให้ญาติใช้จ่าย รวม 1 ล้านบาท นำไปซื้อทองรูปพรรณมาเก็บไว้ประมาณ 5 แสนบาท ที่เหลือได้นำมาใช้จ่ายส่วนตัว และส่วนหนึ่งได้นำไปใช้เล่นพนันออนไลน์ ฝากเตือนประชาชนหากมีสายแปลกควรจะตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์จากอินเทอร์เน็ตก่อน หรือตัดสายทิ้งและบล็อกเบอร์โทรศัพท์ไปเลย ส่วนคนที่อยากจะมาทำงานแบบนี้ถึงแม้ได้เงินเยอะแต่ไม่ได้ใช้ และถูกจับกุมด้วย

...

ผบก.สส.บช.น. หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 5 PCT กล่าวอีกว่า เงินที่ไปต่างประเทศอาจติดตามยาก แต่เคสนี้ทราบว่าได้เงินเปอร์เซ็นต์จากการหลอกลวงรวม 4 ล้านบาท และเงินรางวัลที่ได้จากการหลอกคนไทยเขาจะไม่ได้ใช้เลย จะติดตามคืนผู้เสียหายต่อไป ส่วนญาติตำรวจอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะเข้าข่ายความผิดร่วมกันฟอกเงินหรือไม่ และข้อหาอื่นๆ ที่เข้าข่ายความผิดด้วย ทั้งยังมีผู้ร่วมกระทำผิดที่ทำหน้าที่ในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ร่วมกันหลอกลวงอีก 57 คน จะขยายผลจับกุมมาดำเนินคดีต่อไป

พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวด้วยว่า มือเชือด 150 ล้านบาทรายนี้ มีเทคนิควิธีการที่จะสร้างความกลัวให้เหยื่อ มีวิธีการหลอกลวงได้อย่างแนบเนียนกว่าพนักงานคอลเซ็นเตอร์คนอื่น จนได้รับความไว้วางใจจากบอสชาวไต้หวัน ถือเป็นบุคคลที่เป็นภัยสังคม สร้างความเดือดร้อนให้คนไทยด้วยกัน ขอเตือนประชาชนที่คิดจะไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้านเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้ทราบว่า ไม่ว่าอย่างไร สักวันหนึ่งพวกคุณจะต้องถูกจับ พวกคุณจะต้องกลับมาแบบอาชญากร มิใช่เหยื่อ และจะต้องถูกยึดทรัพย์สินที่ได้มาทั้งหมด และขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนคนไทยอย่าได้หลงเชื่อกลวิธีเหล่านี้ จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

...

หากท่านมีเบาะแสสามารถติดต่อไปยัง สายด่วน 1441 ตำรวจไซเบอร์ หรือศูนย์ ศปอส.ตร. 081-8663000 ผู้เสียหายสามารถแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ได้ที่ www.thaipoliceonline.com นอกจากนี้ยังได้จัดทำรูปแบบแผนประทุษกรรมของคนร้าย เพื่อให้ประชาชนรับรู้ โดยสามารถเข้าไปติดตามได้ที่ www.pctpr.police.go.th

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สอท.1 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และติดตามยึดทรัพย์สินต่อไป.