รวบแล้วแก๊งสาวสอง อ้างเป็นนักธุรกิจเกาหลี ลวงเหยื่ออดีตพยาบาลลงทุน ก่อนกักขังหน่วงเหนี่ยว ทำร้ายร่างกาย แฉแผนประทุษกรรม ตีสนิทเหยื่อ คบหากันในลักษณะญาติพี่น้อง มีการชักชวนกันไปสาบานตามวัด จะขอเป็นพี่น้องกัน จะไม่ทอดทิ้งกัน กระทั่งเหยื่อทั้ง 3 รายหลงเชื่อ ยอมลาออกจากอาชีพพยาบาล มี 1 รายหลงเชื่อถึงขนาดยอมแยกทางกับสามี

จากกรณีเหยื่อสาวอดีตพยาบาลจำนวน 3 ราย พร้อมลูกๆ อีก 2 ราย ถูกนายทุนหลอกให้ร่วมลงทุนทำธุรกิจ และใช้กลอุบายสารพัดกักขังหน่วงเหนี่ยว โดยการอุปโลกน์ให้ทำงานใช้หนี้จำนวนหลายล้านบาท ก่อนทำร้ายร่างกายด้วยการใช้น้ำร้อนราดจนบาดเจ็บ ภายในคอนโดแห่งหนึ่ง ย่านพระราม 8 กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถช่วยเหลือเหยื่อออกมาได้เมื่อวันที่ 16 ต.ค. ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดช่วงเย็นวันที่ 17 ต.ค. 65 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. จับกุมตัว นายฮารุ ฮวังสิริ อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 154 ถนนเทอดไท แขวงบุคคโล เขตธนบุรี กทม. ตามหมายจับศาลอาญาตลิ่งชัน ที่ 505/65 ลงวันที่ 17 ต.ค. 65 ในข้อหา “ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น เป็นเหตุให้ผู้อื่นนั้นได้รับอันตรายสาหัส, ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้าย จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น”

และจับกุม นายตรีเพชรรัตน ณพชร อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 24 ซอยรามอินทรา 58 แยก 3-2 แขวงรามอินทรา เขตคันนายาว กทม. ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาตลิ่งชันที่ 506/65 ลงวันที่ 17 ต.ค. 65 ข้อหาเดียวกัน โดยจับกุมตัวได้ขณะเชิญตัวทั้ง 2 รายเข้าให้ปากคำเกี่ยวกับข้อมูลรายละเอียดทางคดีดังกล่าว ที่ บก.สส.บช.น.

...

พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวว่า จากการสอบปากคำและเช็กประวัติข้อมูลผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ทราบว่าไม่ได้มีเชื้อสาย หรือเป็นชาวเกาหลีแต่อย่างใด โดยทั้งคู่ยอมรับร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหาย และใช้กลอุบายแอบอ้างว่าเป็นนักลงทุนจากประเทศเกาหลี เพื่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อเท่านั้น

โดยหลังจากนี้เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจะควบคุมตัวนายฮารุ และนายตรีเพชร ส่งให้พนักงานสอบสวน สน.บวรมงคล ทำการสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อหาที่มาที่ไป และแผนประทุษกรรมทุกขั้นตอนที่ผู้ต้องหาใช้หลอกลวงผู้เสียหายจนหลงเชื่อ ตลอดจนการนำตัวผู้เสียหายและลูกๆ มากักขังที่ห้องพักภายในคอนโดมิเนียมย่านพระราม 8 และก่อเหตุทำร้ายร่างกาย จากนั้นจะแจ้งข้อหาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้มีรายงานว่า นายฮารุ ฮวังสิริ อายุ 39 ปี ผู้ต้องหารายที่ 1 นั้นผ่านการเปลี่ยนชื่อและนามสกุลมาแล้วจำนวน 8 ครั้ง ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณ 3 ปีที่ผ่านมาบังเอิญไปรู้จักกันกับผู้เสียหายอดีตพยาบาลสาวทั้ง 3 ราย ที่งานศพญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง โดยขนาดนั้นผู้เสียหายทั้ง 3 รายยังมีอาชีพเป็นพยาบาลวิชาชีพอยู่ที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งย่านเสือป่า และมีรายได้พิเศษจากการค้าขายสินค้าทางออนไลน์

ต่อมาได้ถูก นายฮารุ หลอกลวงว่าเป็นนักธุรกิจลูกครึ่งไทย-เกาหลี มีธุรกิจชักชวนให้ร่วมลงทุนกับนายทุนฝั่งเกาหลี นายฮารุ เข้ามาตีสนิทผู้เสียหายทั้ง 3 ราย คบหากันในลักษณะญาติพี่น้อง มีการชักชวนกันไปสาบานตามวัดและศาสนสถานต่างๆ ว่าจะขอเป็นพี่น้องกัน ร่วมลงทุนด้วยกัน และจะไม่ทอดทิ้งกัน กระทั่งเหยื่อทั้ง 3 รายหลงเชื่อ ยอมลาออกจากอาชีพพยาบาล มี 1 รายหลงเชื่อถึงขนาดยอมแยกทางกับสามี และพาลูกๆ อีก 2 คนมาพักอาศัยกับนายฮารุที่คอนโดมิเนียม

โดยตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา นายฮารุ ยังใช้กลอุบายอ้างว่าตัวเองรู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่และนายตำรวจหลายสังกัด นอกจากนี้ระหว่างที่เหยื่อทั้ง 5 รายพักอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียม นายฮารุ ยังอ้างว่าธุรกิจขาดทุน และข่มขู่ให้เหยื่อทั้ง 3 รายช่วยกันหาเงินทุกวิถีทางเพื่อนำมาใช้หนี้ หากไม่มีเงินก็จะดำเนินคดี เนื่องจาก นายฮารุ แจ้งความเอาไว้แล้ว จนเหยื่อพากันนขายทรัพย์สิน และกู้เงินจากแหล่งต่างๆ มาให้มีมูลค่าความเสียหายรวมกันอีกหลายล้านบาท ตลอดเวลาที่เหยื่อทั้งหมดพักอยู่ร่วมกันนั้น นายฮารุ ได้จ้างวานให้ นายเพชรรัตน ณพชร อายุ 20 ปี ผู้ต้องหาที่ 2 เป็นผู้ดูแลเหยื่อทั้ง 5 รายไม่ให้คลาดสายตา อีกทั้ง นายฮารุ และ นายเพชรรัตน ยังเกลี้ยกล่อมล้างสมองให้เด็กๆ รังเกียจแม่ตัวเอง มีการบังคับให้เด็กผู้ชายแต่งกายเป็นหญิง และบังคับขู่เข็ญทำร้ายร่างกายเหยื่อด้วยวิธีการสารพัด

กระทั่งเรื่องดังกล่าวแดงขึ้นเมื่อเหยื่อรายหนึ่ง ซึ่งเป็นแม่ของเด็กทั้ง 2 คน ถูกนายฮารุ บังคับให้หาเงินจำนวน 40,000 บาท มาหมุนเวียนจ่ายค่าเช่าห้องและค่ากินอยู่รายเดือน ทางเหยื่อจึงตัดสินใจไปปรึกษากับญาติอดีตสามีซึ่งเป็นพ่อเด็ก และเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้ญาติฟัง ทางญาติๆ จึงนำข้อมูลทั้งหมดส่งเป็นเรื่องราวร้องทุกข์เป็นจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ถึง บก.สส.บช.น. ทำให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น.รายงานผู้บังคับบัญชาก่อนประสาน สน.บวรมงคล เข้าทำการช่วยเหลือเหยื่อและจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 คนเอาไว้ได้.