จตช.ร่วมประชุม คกก.สอบข้อเท็จจริง การเปลี่ยนแปลงความเร็วรถของ "บอส อยู่วิทยา" เผย บิ๊กแป๊ะส่งเอกสารชี้แจงยันไม่ได้บังคับ จนท.ให้เปลี่ยนความเร็ว ย้ำผลสืบสวนจะต้องทำให้ออกมาโปร่งใสที่สุด
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 3 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงสาย พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จตช.ได้เรียกประชุมคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง กรณีการเปลี่ยนแปลงความเร็วรถยนต์ของนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 289/2564 ลง 21 มิ.ย.64 ที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.ได้แต่งตั้งให้ พล.ต.อ.วิสนุ เป็นประธานคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ในกรณีที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับรายงานของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มี ศ.พิเศษ วิชา มหาคุณ เป็นประธาน ว่ามีข้าราชการตำรวจเกี่ยวข้องกับการจัดให้ รศ.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม พบกับ พ.ต.อ.ธนสิทธิ แตงจั่น นักวิทยาศาสตร์ (สบ 4) กองพิสูจน์หลักฐาน จนทำให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขความเร็วรถยนต์ในคดีที่นายวรยุทธ หรือบอส ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีขับรถยนต์เฟอร์รารี่ชนตำรวจจราจร สน.ทองหล่อเสียชีวิต เหตุเกิดเมื่อปี พ.ศ.2555 เป็นเหตุผลให้พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ ไปเมื่อปี พ.ศ.2563 ซึ่งได้มีกระแสเรียกร้องให้มีการตรวจสอบในกรณีดังกล่าว จนกระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมาเพื่อตรวจสอบ และส่งผลการตรวจสอบดังกล่าวให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อดำเนินการกับผู้ที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวพันกับกรณีดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมในวันนี้เป็นการเร่งรัดติดตามในประเด็นสืบเนื่องจากที่คณะกรรมการได้มีมติไปในการประชุมครั้งก่อนเมื่อกลางเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา โดยในที่ประชุมมีการติดตามความคืบหน้าในการขอสอบปากคำ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. การเชิญอัยการที่อยู่ในเหตุการณ์การเปลี่ยนความเร็วรถ และการเชิญทนายความที่พา รศ.สายประสิทธิ์ ไปพบกับ พ.ต.อ.ธนสิทธิ ที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐานมาให้ปากคำ โดยได้มีการรายงานในที่ประชุมว่า พล.ต.อ.สมยศ ได้ส่งคำให้การเป็นเอกสารมายังคณะกรรมการแล้ว ยืนยันว่า ในวันที่ 26-28 ก.พ.2559 นั้น ตนได้เดินทางไปประชุมคณะกรรมการฟุตบอลโลกที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และกลับมาประเทศไทยในเช้าวันที่ 28 ก.พ.59 และในช่วงเช้าวันที่ 29 ก.พ.59 ได้เดินทางไปพบกับ พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร.ซึ่งในห้วงเวลานั้นดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วย ผบ.ตร.
ที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน เนื่องจากมีความสนิทสนมคุ้นเคยกันมานาน
...
และยอมรับว่าได้อยู่ในเหตุการณ์ขณะที่ รศ.สายประสิทธิ์ พบกับ พ.ต.อ.ธนสิทธิ ที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน ประมาณเกือบ 30 นาที แต่ไม่ได้กดดัน บังคับ หรือชักจูง ให้ พ.ต.อ.ธนสิทธิ แก้ไขเปลี่ยนแปลงความเร็วรถของนายวรยุทธ ต่อพนักงานสอบสวนในการสอบสวนเพิ่มเติมตามคำสั่งของพนักงานอัยการแต่อย่างใด และยอมรับว่าเสียงในคลิปที่ใช้เป็นหลักฐานในกรณีนั้นเป็นเสียงของตนจริง โดย พล.ต.อ.สมยศ ให้การโดยพยายามชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงความเร็วรถดังกล่าว ไม่มีใครจะบังคับ พ.ต.อ.ธนสิทธิ ได้ หากเจ้าตัวไม่ยินยอม และผู้ที่จะได้ประโยชน์ในการเปลี่ยนแปลงความเร็วรถนั้น ก็คือฝ่ายทนายความของผู้ต้องหา ซึ่งคณะกรรมการได้มีการถกกันในประเด็นนี้อย่างกว้างขวาง
นอกจากนี้ ยังมีการรายงานต่อคณะกรรมการว่า อัยการชัยณรงค์ (สงวนนามสกุล) ที่มีขัอมูลพาดพิงว่าอยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยนั้น ไม่ได้มาให้ปากคำตามที่มีหนังสือเชิญไป โดยอ้างว่าไม่ทราบว่าที่คณะกรรมการมีเชิญไปให้ปากคำนั้น ตนเองไปเกี่ยวข้องอย่างไร นอกจากนี้ยังมีการให้ข้อมูลจากกรรมการบางส่วนเพิ่มเติมว่ามีหลักฐานบางส่วนเกี่ยวพันไปถึง พ.ต.ต.ชวลิต เลาหอุดมพันธ์ ส.ส.พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นอดีตตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานที่เคยร่วมทำคดีนี้ ในที่สุดคณะกรรมการได้ลงมติว่าในส่วนของ พล.ต.อ.สมยศ นั้นได้ให้มาข้อมูลเพียงพอแล้ว แต่ในส่วนของอัยการชัยณรงค์นั้น ต้องทำหนังสือเชิญมาให้ปากคำอีกครั้งหนึ่งหรือจะทำคำให้การเป็นหนังสือมาก็ได้ และจะต้องเชิญ พ.ต.ต.ชวลิต มาให้ปากคำในบางประเด็นที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการสืบสวนด้วยโดยให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในสัปดาห์หน้า
ภายหลังการประชุม พล.ต.อ.วิสนุ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า จะดำเนินการในเรื่องนี้อย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา โดยหากมีข้อมูลพาดพิงไปถึงใครก็จะต้องเชิญมาสอบทุกราย เพื่อให้ได้ความจริงและเกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งจะพยายามดำเนินการให้เสร็จเร็วที่สุดตามกรอบเวลาที่ กฎ ก.ตร.กำหนด ขอให้มั่นใจในการทำงานของคณะกรรมการชุดนี้ และตนได้กำชับการทำงานของคณะกรรมการไปแล้วว่า ผลการสืบสวนจะต้องตอบสังคมได้อย่างมีเหตุมีผลในทุกประเด็น.