ป้าสวย หญิงวัย 58 ปี ที่อ้างเป็น ตชด. หลอกชายวัย 60 โอนเงินให้หลายครั้งกว่า 2 แสนบาท ถูกแจ้งความจับได้คาบ้าน โดน 2 ข้อหาหนัก ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น และนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จฯ แม้ผู้เสียหายจะไม่เอาความขอแค่เงินคืน ยังต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย  

วันที่ 28 ต.ค. 64 ความคืบหน้ากรณีที่นายประเสริฐ พรหมเทศ อายุ 60 ปี ชาว อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ เข้าแจ้งความตำรวจ สภ.สันกำแพง หลังถูกหญิงชื่อ “สวย” นำภาพสาวสวยแอบอ้างตัวเป็น ตชด. หลอกให้หลงรักทางออนไลน์และออกอุบายให้ตนเองโอนเงินให้กว่า 2 แสนบาท จนกระทั่งล่าสุดตำรวจกองปราบปราม นำหมายศาลจังหวัดเชียงใหม่เข้าจับกุมตัวนางพีรพัฒน์ งามสง่า หรือ “สวย” อายุ 58 ปี ชาวจังหวัดนครสวรรค์ ได้ที่บ้านพักเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร ก่อนส่งตัวดำเนินคดีที่ สภ.สันกำแพง ในข้อหา “ฉ้อโกงทรัพย์โดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น”

ล่าสุด วันนี้ (28 ต.ค. 64) ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5 พร้อมด้วย พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี รอง ผบช.ภ.5 ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมตัวนางกัญญาภัทร งามสง่า หรือ “สวย” อายุ 58 ปี ชาวจังหวัดนครสวรรค์ ผู้ต้องหาในคดีนี้ ขณะที่นายประเสริฐได้เดินทางเข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติม หวังเป็นกรณีศึกษาไม่ให้มีใครตกเป็นเหยื่อเหมือนตัวเองอีก

นายประเสริฐ เล่าว่า ก่อนหน้านี้ได้รู้จักกับ นางกัญญาภัทร ซึ่งใช้ชื่อเล่นว่า “สวย” ผ่านทางเฟซบุ๊กโดย “สวย” ได้แอดเฟซบุ๊กและทักมาหาก่อน จากนั้นก็ได้เริ่มพูดคุยกัน ช่วงหลังได้มีเบอร์โทรศัพท์และไลน์ โทรคุยและติดต่อกันมานานกว่า 2 ปี จนกระทั่งเมื่อ 2 เดือนก่อน “น้องสวย” ได้ทักมาขอยืมเงิน โดยอ้างว่าน้องชายที่เป็น ตชด. ไปยิงทหารยศพันโทตาย จึงขอเงินไปเคลียร์คดี ตนสงสารจึงโอนให้ หลังจากนั้นน้องสวยอ้างว่าจะลาออกจากงานเดินทางมาอยู่กับตนเองที่เชียงใหม่ แต่ไม่มีค่าน้ำมันรถ จึงโอนไปให้ 3,000 บาท ต่อมาพูดคุยกันอีกว่ามาถึงจังหวัดลำพูนแล้ว แต่น้ำมันหมด ตนจึงโอนให้อีก 2,000 บาท หลังจากนั้นก็ติดต่อไม่ได้ จนผ่านไปประมาณ 7 วัน น้องสวยติดต่อกลับมาอีกครั้ง พร้อมข้ออ้างว่ากระเป๋าถูกขโมย และได้กลับไปตั้งหลักที่กาญจนบุรี ตนจึงบอกว่าจะไปรับเอง แต่น้องสวยไม่ตอบ ทำให้รู้ว่าถูกหลอกแล้ว จึงมาแจ้งความในที่สุด

...

อย่างไรก็ตาม นายประเสริฐ บอกว่า ไม่ติดใจเอาความ ขอแค่ให้น้องสวยคืนเงินที่เคยโอนให้ไปประมาณสองแสนบาทก็ยอมจบเรื่อง โดยนางกัญญาภัทร หรือน้องสวย ได้คืนเงินมาให้แล้ว 6 หมื่นบาท ส่วนที่เหลือบอกว่าจะหามาคืนให้ ซึ่งได้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานแล้ว ส่วนการดำเนินคดีหลังจากนี้ให้เป็นเรื่องของตำรวจ

ด้าน พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5 เปิดเผยว่า การกระทำในลักษณะดังกล่าวนี้มีความผิดร้ายแรง ถึงแม้ว่าทางคู่กรณีจะมีการยอมความ ไม่ติดใจแล้วก็ตาม แต่เมื่อมีการแจ้งความ ก็จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย โดยคดีนี้ผู้ต้องหาจะถูกดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงทรัพย์โดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น มีอัตราโทษ จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา 14 (1) ในเรื่องของการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จที่มีอัตราโทษเท่ากัน แม้ว่าทางผู้ต้องหาจะนำเงินมาชดใช้คืนผู้เสียหายทั้งหมดแล้วแต่ก็เป็นคดีที่ยอมความไม่ได้ และต้องดำเนินการตามกฎหมายให้ถึงที่สุด ส่วนผู้เสียหายรายใดที่เคยถูกบุคคลดังกล่าวหลอกลวง ให้ติดต่อกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป.