เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมแถลงคดีภาษี "โตโยต้ามอเตอร์ ประเทศไทย" หมื่นล้าน อยู่ในระหว่างขั้นตอนการฎีกา ยังไม่มีคำพิพากษา ซึ่งคดีต้องมีองค์ร่วมพิจารณาจำนวนมาก และประธานศาลฎีกาได้ตั้งคณะทำงานตรวจสอบ ประสานข้อมูลจากทุกฝ่าย เพื่อทำความจริงให้ปรากฏโดยเร็วที่สุด

ที่สำนักงานศาลยุติธรรมเมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 4 มิ.ย. นายพงษ์เดช วานิชกิตติกูล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมได้แถลงคดีภาษีบริษัท โตโยต้ามอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ที่มีการเผยแพร่ข่าวการสอบสวนคดีภาษีของบริษัทในเครือโตโยต้าในประเทศสหรัฐอเมริกาและมีการอ้างถึงชื่อข้าราชการและอดีตข้าราชการตุลาการผู้ใหญ่ว่าอาจมีส่วนพัวพันธ์กับเรื่องนี้

นายพงษ์เดชกล่าวว่า ไทม์ไลน์คดีนี้เป็นบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรมศุลกากร กรมสรรพากร เป็นจำเลย ต่อศาลภาษีอากรกลางซึ่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาขอให้เพิกถอนการประเมินและเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของหน่วยงานที่จัดเก็บภาษี (เรียกมาหนึ่งหมื่นล้านบาท)

วันที่ 10 มิ.ย. 2558 ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาคำฟ้องแล้วมีคำสั่งให้แยกฟ้อง โจทก์จึงยื่นฟ้องคดีเข้ามาใหม่รวม 10 คดี ศาลภาษีอากรกลางจึงมีคำพิพากษาทุกคดีในวันที่ 29 ก.ย. 2560 พิพากษาให้โตโยต้าชนะ ให้เพิกถอนการประเมินและเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ เป็นผลให้โจทก์ไม่มีความรับผิดทางภาษีอากรตามที่จำเลยเรียกเก็บ

ต่อมา จำเลยได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลาง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2561 และศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ มีคำพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ คือต้องจ่ายเต็มหมื่นล้านบาท โดยอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 2562 โจทก์จึงยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาเมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2562 ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ฎีกาและรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณา

...

โดยศาลภาษีอากรกลางได้อ่านคำสั่งคดีขออนุญาตฎีกาไปเมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2564 ขณะนี้คดียังอยู่ระหว่างศาลภาษีอากรกลางดำเนินการให้ฝ่ายจำเลยยื่นคำแก้ฎีกา ซึ่งจำเลยขออนุญาตขยายระยะเวลายื่นคำแก้ฎีกาถึงวันที่ 13 ก.ค. 2564 หากยื่นคำแก้ฎีกาแล้วศาลภาษีอากรกลางจะรวบรวมสำนวนส่งคืนศาลฎีกาเพื่อพิจารณาต่อไป

ดังนั้น ในคดีนี้ศาลฎีกาจึงยังไม่ได้พิจารณาพิพากษาคดี เพียงพิจารณาคำร้องขออนุญาตฎีกาเท่านั้น ซึ่งการอนุญาตให้ฏีกา เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247,249 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26 ที่กำหนดให้ศาลฎีกาพิจารณาอนุญาตให้ฎีกา เมื่อเห็นว่าปัญหาตามฎีกานั้นเป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย เมื่อคดีนี้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ขัดแยังกันในสาระสำคัญ ทั้งเกี่ยวพันกับความตกลงระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันกับประเทศไทย และยังเป็นกรณีที่ไม่มีแนวคำพิพากษาของศาลฎีกามาก่อน

ศาลฎีกาจึงมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ฎีกาได้ โดยพิจารณาเพียงว่าปัญหาที่ยื่นฎีกานั้นเป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาสมควรอนุญาตให้ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาหรือไม่ ตอนนี้ ยังไม่ได้มีการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีแต่อย่างใด เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีภาษีอากร ซึ่งเป็นคดีชำนัญพิเศษ ในการพิจารณาพิพากษาจะมีผู้พิพากษาที่มีความเชี่ยวชาญด้านภาษีอากรตลอดตั้งแต่ศาลชั้นต้นจนกระทั่งถึงศาลฎีกา โดยศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีการวางระบบการทำงานในรูปแบบการประชุมคดีที่เข้มข้น โดยองค์คณะจะร่วมกันพิจารณาคดี มีผู้ช่วยผู้พิพากษาทำหน้าที่เลขานุการคณะในการทำเอกสารสรุปข้อเท็จจริง ประเด็นข้อพิพาทในคดีและข้อกฎหมาย เมื่อประชุมแล้ว ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนก็จะยกร่างคำพิพากษาตามมติการประชุม แล้วจึงส่งร่างคำพิพากษานั้นให้ผู้ช่วยผู้พิพากษาตรวจสำนวน เมื่อตรวจแล้วจะเสนอร่างคำพิพากษาดังกล่าวต่อรองประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เมื่อเห็นว่าเป็นคดีสำคัญจึงจะส่งให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ หรือประธานศาลฎีกาแล้วแต่กรณีพิจารณา หากเห็นว่ามีปัญหาข้อกฎหมายสำคัญก็จะสั่งให้นำเข้าสู่การพิจารณาโดยที่ประชุมใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยผู้พิพากษาทุกท่านในศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ มีประมาณ 70 คน ส่วนศาลฎีกามี 176 คน เมื่อร่างคำพิพากษาผ่านที่ประชุมแล้วจึงจัดทำคำพิพากษาเพื่อส่งให้ศาลชั้นต้นอ่านให้คู่ความฟังต่อไป

ในส่วนของการพิจารณาคำร้องขออนุญาตฎีกาในศาลฎีกานั้น แม้จะเป็นเพียงชั้นขออนุญาตฎีกาก็ตาม แต่กฎหมาย ก็กำหนดจำนวนองค์คณะไว้อย่างน้อย 4 คนโดยหนึ่งในนั้นต้องเป็นรองประธานศาลฎีกาด้วย สำหรับคดีภาษีอากรนั้น คำร้องขออนุญาตฎีกาก็จะถูกพิจารณาโดยผู้พิพากษาที่อยู่ในแผนกคดีภาษีอากรในศาลฎีกาเป็นองค์คณะ ภายหลังจากองค์คณะพิจารณาแล้วในคดีนี้ได้นำเข้าประชุมแผนกคดีภาษีอากรในศาลฎีกา เพื่อให้ผู้พิพากษาในแผนกทุกคนได้ร่วมกันพิจารณาและลงมติ ก่อนจะที่จะมีการส่งมาให้ศาลภาษีอากรกลางอ่านคำสั่งอนุญาตให้ฎีกา จะเห็นได้ว่าขั้นตอนการพิจารณาคดีของศาลยุติธรรมในแต่ละชั้นศาลนั้นเป็นไปอย่างมีระบบ โปร่งใส มีการปรึกษาคดีและตรวจความถูกต้องในทุกขั้นตอน ยากที่จะมีการแทรกแซงหรือกระทำการใดที่จะก่อให้เกิดผลตามที่ใครต้องการได้

อย่างไรก็ตามแม้ว่าเราจะมั่นใจในระบบ แต่เมื่อมีการกล่าวอ้างว่าอาจมีการกระทำที่แทรกแซงกระบวนการ จนถึงขั้นอาจมีการเสนอให้สินบนขึ้น ซึ่งต้องยอมรับว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวกระทบต่อภาพลักษณ์และศรัทธาของประชาชนที่มีต่อศาลยุติธรรมและกระบวนการยุติธรรมเป็นอย่างยิ่ง

สำนักงานศาลยุติธรรมจึงไม่นิ่งนอนใจ นับตั้งแต่มีการรายงานข่าวจึงได้ดำเนินการส่งหนังสือประสานขอข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบกรณีดังกล่าวในประเทศสหรัฐอเมริกาผ่านกระทรวงการต่างประเทศ ต่อมาเมื่อในเนื้อหาข่าวปรากฏชื่อบุคคลในศาลยุติธรรมขึ้น สำนักงานศาลยุติธรรมจึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบและติดตามผลโดยที่ตนเป็นประธานคณะทำงานด้วยตัวเอง คณะทำงานชุดนี้มีอำนาจหน้าที่ติดตามหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับกรณีนี้ ซึ่งได้ดำเนินการส่งหนังสือขอข้อมูลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและนอกประเทศแล้ว

ได้แก่ ที่ปรึกษากฎหมาย บริษัท โตโยต้า อเมริกา กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกา คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา และกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงส่งเมลติดต่อไปยังนักข่าวที่เขียนรายงานข่าวอันเป็นต้นทางของเรื่องนี้ และจะขอเข้าร่วมสังเกตการณ์การไต่สวนของคณะลูกขุนใหญ่ในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกาด้วย

...

ต่อมาวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา ท่านเมทินี ชโลธร ประธานศาลฎีกา ได้อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 ลงนามในคำสั่งแต่งตั้ง "คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง" 4 ท่าน ประกอบด้วยผู้พิพากษาชั้นฎีกาและชั้นอุทธรณ์ ซึ่งมีผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา เป็นประธานกรรมการฯ และมีผู้พิพากษาชั้นศาลฎีกาและชั้นศาลอุทธรณ์เป็นกรรมการโดยให้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงชุดนี้มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการสอบสวนตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในประกาศคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) กรณีข้าราชการตุลาการถูกกล่าวหาหรือเป็นที่สงสัยว่ากระทำผิดวินัย ให้เสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้กรรมการชุดนี้เสนอความเห็นว่ากรณีมีมูลเป็นความผิดวินัยร้ายแรงหรือไม่ร้ายแรงหรือไม่มีมูลความผิดทางวินัย หากมีมูลความผิดทางวินัยก็ให้พิจารณาด้วยว่าเป็นความผิดวินัยตามบทมาตราใด และควรได้รับโทษสถานใด เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป และหากสอบสวนพบข้อเท็จจริงมีบุคคลอื่นใดเป็นผู้กระทำผิด หรือพบข้อกล่าวหาเพิ่มเติมจากที่ระบุในคำสั่งนี้ ก็ให้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงชุดนี้ดำเนินการสอบสวนไปด้วยในคราวเดียวกัน

คณะทำงานติดตามข้อมูลที่ตนเป็นประธาน จะทำงานสนับสนุนการทำงานของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง เพื่อดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงตามที่คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงต้องการ ให้ความกระจ่างปรากฏต่อสาธารณชนโดยเร็ว และหากพบว่าผู้ใดกระทำความผิดตามกฎหมายก็จะดำเนินการอย่างเด็ดขาด

ดังนั้น หากประชาชน สื่อมวลชน หรือหน่วยงานใดมีข้อมูลหรือข้อเท็จจริงที่จะช่วยให้เรื่องนี้กระจ่างชัด สามารถส่งข้อมูลมายังสำนักงานศาลยุติธรรมได้ตลอดเวลา โดยคณะทำงานติดตามข้อมูลจะดำเนินการทุกวิถีทางให้เร็วที่สุด และสำนักงานศาลยุติธรรมจะเสนอผลความคืบหน้าของการทำงานให้ประชาชนและสื่อมวลชนทราบเป็นระยะ โดยจะตรวจสอบและดำเนินการกับผู้กระทำผิดกฎหมายอย่างเด็ดขาดและจริงจัง ขอให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนและสังคมว่า หากคดีนี้เข้าสู่การพิจารณาของศาลฎีกา คู่ความจะได้รับความเป็นธรรมทุกอย่างตามพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน องค์คณะในศาลฎีกาจะพิจารณาคดีอย่างไม่หวั่นไหว ส่วนการให้สินบนตามข่าวหากมีจริงก็เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการและดำเนินคดีต่อไป

...

ทั้งนี้ ประธานศาลฎีกาก็มีดำริว่าจะต้องทำความจริงให้ปรากฏโดยเร็วที่สุด.