ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนสั่งปรับ “เพนกวิน กับ บอล-ธนวัฒน์” คนละ 2,000 บาท ข้อหาชุมนุมสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต หน้ากองทัพบก เมื่อ 20 ก.พ.62 

ที่ศาลแขวงดุสิต ถนนนครไชยศรี วันที่ 3 ก.ย. ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่อัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 3 (แขวงดุสิต) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายพริษฐ์ หรือ เพนกวิน ชิวารักษ์ นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กับ นายธนวัฒน์ วงค์ไชย หรือ บอล นักกิจกรรมทางการเมือง เป็นจำเลย ที่ 1-2 ในความผิดตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 ก.พ.62 เวลากลางวันถึงเวลากลางคืนหลังเที่ยงต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองร่วมกันนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ทางเว็บไซต์เฟซบุ๊ก เชิญชวนให้ประชาชนไปร่วมกิจกรรมเพื่ออธิบายให้ พล.อ.อภิรัตช์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.เข้าใจว่าทำไมไม่ควรเปิดเพลงหนักแผ่นดินตามสายในหน่วยงานทหารต่างๆ อ้างว่าไม่ใช่การชุมนุมทางการเมือง แต่เป็นกิจกรรมเพื่อการศึกษา ต่อมาเมื่อถึงเวลานัดหมายในวันที่ 20 ก.พ.62 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันจัดการชุมนุมสาธารณะ โดยมีพวกของจำเลยทั้งสองร่วมชุมนุมที่บริเวณเกาะกลางถนน หน้ากองบัญชาทหารบก ถนนราชดำเนินนอก กทม.

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษา เมื่อวันที่ 21 ส.ค.62 ว่าจำเลยทั้งสอง มีความผิดตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ 2558 มาตรา 10 วรรคหนึ่ง, 14, 28 เนื่องจากไม่มีการปิดกั้นสถานที่ให้คนเข้าร่วมชุมนุม ให้ปรับเงินคนละ 2,000 บาท ต่อมา จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ข้ออุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง ที่อ้างว่าจัดกิจกรรมดังกล่าวเพื่อให้ความรู้และสอนประวัติศาสตร์ผู้บัญชาการทหารบก อันเป็นกิจกรรมเพื่อการศึกษานั้น จำเลยทั้งสองเบิกความกล่าวอ้างลอยๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานมาแสดงให้เห็นว่า จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นนักศึกษามีความรู้และประสบการณ์ หรือมีความเชี่ยวชาญเป็นที่ยอมรับของสังคมในเรื่องใด ทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองมีหน้าที่ให้การศึกษาหรือมีหน่วยงาน องค์กรใด ขอให้จำเลยทั้งสองมาบรรยายให้ความรู้ การจัดกิจกรรมดังกล่าวจึงเป็นการจัดการชุมนุมแสดงความคิดเห็นเพื่อคัดค้านการกระทำของผบ.ทบ. บริเวณเกาะกลางถนนด้านหน้ากองบัญชาการทหารบก ซึ่งเป็นที่สาธารณะ การจัดกิจกรรมดังกล่าวย่อมเป็นการชุมนุมสาธารณะ อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น

...

ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยประเด็นว่า การกระทำของเจ้าพนักงานตำรวจที่เกี่ยวข้องมุ่งแต่จะใช้กฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของจำเลยทั้งสอง และเป็นการกระทำที่รวดเร็วรวบรัดตัดตอน ขัดกับการสอบสวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของจำเลย ซึ่งขัดกับหลักการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย, พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองนั้น เป็นข้อคิดเห็นของจำเลยทั้งสอง เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจ และมิใช่เป็นการโต้แย้งว่า พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนคดีนี้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วว่า จำเลยทั้งสองจัดการชุมนุมทำกิจกรรมอันเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายและเป็นการกระทำความผิดตามฟ้อง อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นสาระแก่คดีที่จะต้องวินิจฉัย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานจัดการชุมนุมสาธารณะที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืนสั่งปรับคนละ 2,000 บาท.