"บิ๊กโจ๊ก" โร่ขึ้นโรงพักให้ปากคำโดนยิงถล่ม หอบหลักฐาน "ไบโอเมตริกซ์" ส่ง ตร.เพิ่ม ยันไม่ได้สร้างภาพ-สร้างสถานการณ์ เผยมีผู้ใหญ่ประสานเคลียร์ แย้มมีข้อมูลคนทำ แต่อุบชื่อ ชี้ถ้าไม่ใช่คนมีอำนาจ ไม่กล้าทำแบบนี้ ปัดท้าชนใคร แค่ต้องการความจริง
เมื่อวันที่ 8 ม.ค.63 ที่ สน.บางรัก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีต ผบช.สตม. เดินทางไปยัง สน.บางรัก เพื่อให้ปากคำกรณีถูกคนร้ายยิงถล่มรถยนต์ส่วนตัว เมื่อวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
โดย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เปิดเผยก่อนจะเข้าให้ปากคำว่า วันนี้ตนเดินทางเข้าให้ปากคำในส่วนของคดีที่เกิดขึ้น และนำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับโครงการไบโอเมตริกซ์มามอบให้กับพนักงานสอบสวนเพิ่มเติม ยืนยันว่าตนไม่ได้สร้างภาพ สร้างสถานการณ์ เพราะไม่มีมีมูลเหตุจูงใจว่าจะทำไปเพื่ออะไร เพราะรถก็เสียหายและตนเป็นผู้ถูกกระทำ ขณะเดียวกันเมื่อสองปีก่อนมีเหตุคนร้ายยิงรถยนต์ของผู้สื่อข่าว จนขณะนี้ก็ยังไม่สามารถจับกุมตัวคนร้ายได้ ทำให้เชื่อว่าเป็นแผนประทุษกรรมลักษณะเดียวกัน คนวงในก็ต้องรู้ว่าใครเป็นคนยิง ส่วนประเด็นที่มองว่าเป็นเรื่องความขัดแย้งจากโครงการไบโอเมตริกซ์นั้น เมื่อครั้งที่ตนดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้เซ็นหนังสือ 2 ฉบับ ถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ยกเลิกโครงการดังกล่าว เนื่องจากล่าช้าและส่งงานไม่ทัน อีกทั้งยังเปลี่ยนผู้บัญชาการมาถึง 2 คนก็ยังไม่แล้วเสร็จ และไม่มีใครดำเนินการยกเลิกโครงการดังกล่าว ถ้าตนไม่พบว่าโครงการมีส่วนผิดจริงก็ไม่เซ็นยกเลิก เพราะบริษัทคู่สัญญาจะมาฟ้องกับตนได้ และที่ไม่ถูกฟ้องเพราะตนทำตามหน้าที่ โดยก่อนนี้มีคนประสานมานัดพูดคุยกับผู้ใหญ่หลายท่านหลายครั้ง แต่ตนไม่ได้ไป อีกทั้งยังมีรอง ผบช.สตม.บางคนถูกย้ายไปทำงานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากถูกกดดันให้เซ็นตั้งกรรมการตรวจสอบวินัยกับตน แต่ตำรวจนายนี้ไม่ยอมเซ็นและขอทำตามระเบียบก็ถูกย้าย ยืนยันว่าทุกขั้นตอนที่ตนดำเนินการสามารถตรวจสอบได้อย่างชัดเจน
...
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า สำหรับบุคคลที่ต้องสงสัยนั้น ตนพอมีข้อมูลแต่ไม่ขอเปิดเผยว่าเป็นใคร หากไม่ใช่คนมีอำนาจก็ไม่มีใครกล้าทำแบบนี้ ถ้าตอนนี้ตนเป็น ผบ.ตร. และจับคนร้ายไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องออกมารับผิดชอบ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต และที่ผ่านมาในหลายคดีก็มีตำรวจเก่งฝีมือดีย้ายเข้ามาสังกัดในนครบาล แต่คดีของตนนั้นเข้าสู่วันที่ 3 แล้ว แต่ยังไม่มีวี่แววความคืบหน้า หากเกิดแบบนี้จะสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนได้อย่างไร ทั้งยังเกิดในใจกลางเมืองด้วย ขอย้อนความไปเมื่อตนยังเป็นตำรวจ สามารถตามจับกุมคนร้ายคดีเชอร์รี่ฆ่าหั่นศพที่หลบหนีไปประเทศกัมพูชาได้ภายในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ ส่วนทาง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกับตน ตอนนี้ท่านก็ไม่ได้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องของผู้บัญชาการปัจจุบัน
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงนี้ ส่วนตัวคิดว่าใกล้จะถึงเวลาที่ ป.ป.ช.จะนัดเรียกสอบพยานที่เกี่ยวข้องกับโครงการไบโอเมตริกซ์ ซึ่งทาง ป.ป.ช.ก็มีประสานมาทางตนแต่ยังไม่ได้ระบุวันที่จะนัดสอบพยาน ส่วนการก่อเหตุครั้งนี้จะส่งผลต่อพยานปากอื่นที่ไม่ได้เซ็นรับนั้น ตนเชื่อว่าไม่เสียขวัญเพราะถูกโยกย้ายกันไปหมดแล้ว ยืนยันว่าการออกมาครั้งนี้ไม่ได้ต้องการท้าชนกับใคร เพราะต้องการให้ความจริงปรากฏขึ้นเท่านั้น เนื่องจากโครงการหรือระบบไบโอเมตริกซ์นั้นเป็นสมบัติชาติ และมีมูลค่าสูงถึง 2,000 ล้านบาท
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นที่ ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ไปร้องเรียนกับทาง ป.ป.ช. เป็นช่วงหลังจากที่ตนเซ็นหนังสือเองและไม่ได้บอกใคร ก็ถือว่าทนายตั้มทำหน้าที่ในภาคประชาชน จนอาจมีคนไม่พอใจสิ่งที่ทำก็ได้ แต่ตนก็ต้องยึดผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติเป็นหลัก
ผู้สื่อข่าวถามทางว่า อยากจะกลับมาเป็นตำรวจหรือไม่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ถ้าถามอยากกลับไปเป็นตำรวจหรือไม่นั้น ส่วนตัวตอบว่าอยากกลับไปเป็นตำรวจ เพราะตนเป็นตำรวจเก่าและเป็นตำรวจอาชีพ หากกลับไม่ได้ก็ไม่เป็นอะไร ขอทำหน้าที่ข้าราชการให้ดีที่สุด เพราะหลังจากโดนย้ายออกมาก็เก็บตัวเงียบมาเป็นปี และไม่ได้ไปร้องเรียนที่ไหน รวมถึงไม่มีสื่อใดได้สัมภาษณ์ตน ยืนยันได้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการชิงตำแหน่ง หรือกลับไปดำรงตำแหน่งตำรวจด้วยวิธีการแบบนี้.