เข้าสู่ปีที่ 4 ของ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ถือเป็น ผบ.ตร. ที่มีชื่อชั้น ด้วยวิธีการทำงานที่ถึงลูกถึงคน เข้าถึงลูกน้อง เข้าใจงานคดีอาชญากรรม และเป็นมือประสานทุกทิศ ทำให้สานต่องานต่อเนื่อง
ไม่ง่ายที่ ผบ.ตร.จะอยู่ในตำแหน่งติดต่อกันนานหลายปี ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2556 ที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์มาคุมบังเหียนตำรวจ อยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกหลายเรื่อง ทั้งกระแส “คนนอก” ที่คิดมาปฏิรูปหน่วยและถูกขย่มจาก “คนใน” ที่ทนรอไม่ไหว ด้วยอายุราชการ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ที่ครบเกษียณปี 2563 มีกระแสข่าวปล่อยสร้างความสับสนในวงการตำรวจ แต่ด้วยผลงานคดีสำคัญ เป็นเครื่องการันตีความเหนียวแน่นบนเก้าอี้ผู้นำสูงสุด
นโยบายหลักยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง กระจายอำนาจลงสู่ระดับพื้นที่ โดยเฉพาะสถานีตำรวจ เป็นหลักประกันความยุติธรรม และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่มีมาตรฐานสากล และค่านิยมร่วมกันที่ว่า “พิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นที่รักของประชาชน” เป็นส่วนสนับสนุนที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ ตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี พัฒนาตำรวจทุกรูปแบบ ตอบสนองความต้องการของประชาชน ตำรวจทุกนายต้องเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน มีความสามัคคี ตามนโยบาย ผบ.ตร.
...
ไม่มีแตกแถวให้ประชาชนได้รับความสะดวกและการบริการที่รวดเร็ว เสมอภาค เป็นธรรม มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น ลดความหวาดกลัวภัย เชื่อมั่นในการอำนวยความยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมายที่โปร่งใส สะดวกรวดเร็ว ส่งผลให้สังคมและประเทศชาติมีความมั่นคงและสงบสุข
ปีที่ 4 นโยบาย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ลงลึกในระดับโรงพัก ให้ตำรวจเข้าถึงประชาชน อยู่ติดพื้นที่ บำบัดทุกข์ประชาชนแท้จริง นำ “บทเรียน” ในอดีตมาปรับทำให้ตำรวจดูดีขึ้นในสายตาประชาชน
การแบ่งงานเป็น 6 งาน งานป้องกันปราบปรามอาชญากรรมให้ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร. งานความมั่นคงและกิจการพิเศษ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. งานกฎหมายและคดี พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. งานจเรตำรวจ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ จตช.งานบริหาร พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม รอง ผบ.ตร. งานสืบสวนสอบสวน พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย รอง ผบ.ตร.
ระดับ ผบช.วางมือทำงาน พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผบช.น. เพื่อนร่วมรุ่น นรต.รุ่น 36 พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบช.สตม. ที่ปราบปรามคดีอาชญากรรมสำคัญและช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนมาต่อเนื่อง และอีกหลายคนที่ได้ดีเพราะทำงาน ทำให้ตำรวจมีขวัญกำลัง อยากทำงานเพื่อความเจริญก้าวหน้าชีวิตราชการ
นโยบายหลัก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยึดภารกิจตามเป้าหมายสำคัญ 6 ด้าน 1.การพิทักษ์ ปกป้อง และเทิดพระเกียรติเพื่อความ จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ 2.การรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยในสังคม 3.การป้องกันปราบปรามและลดระดับอาชญากรรม 4.การแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติ 5.การเร่งรัดขับเคลื่อนการปฏิรูปองค์กรตำรวจในยุคประชาคมอาเซียน 6.การเสริมสร้างความสามัคคี และการบำรุงขวัญข้าราชการตำรวจ
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เปิดใจกับ “ทีมข่าวอาชญากรรม”ว่า “ปีแรกในตำแหน่ง ผบ.ตร.เน้นนโยบายปรับภาพลักษณ์ตำรวจมองว่าดีขึ้น ดำเนินการกับตำรวจที่นอกแถวไปหลายนาย เชื่อว่าประชาชนรู้สึกได้ว่าตำรวจดีขึ้น ในปีที่ 2 เน้นไปที่การยกระดับโรงพัก บำบัดทุกข์บำรุงสุข ตำรวจทุกหน่วยร่วมแรงร่วมใจกันดี คดีสำคัญที่เกิดขึ้นช่วยกันจับกุมคนร้าย ปีที่ 3 เน้นการเข้าร่วมโครงการหน่วยพระราชทาน ประชาชนจิตอาสา เราทำความดีด้วยหัวใจเต็มรูปแบบ ซึ่งตำรวจร่วมใจปฏิบัติหน้าที่ที่รับผิดชอบเต็มกำลังความสามารถ และปีที่ 4 เน้นการเอาบทเรียนในปีผ่านๆมาแก้ไข การทำงานแยกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนแรกนโยบายหลัก 6 ข้อเป็นสิ่งที่ตำรวจปฏิบัติมาโดยตลอด ส่วนที่ 2 หน้าที่การงาน ส่วนที่ 3 นโยบายเฉพาะถวายความปลอดภัยพระบรมวงศานุวงศ์ เป็นภารกิจหลักตำรวจทุกพื้นที่ หัวหน้าหน่วย ผบช. และ ผบก. นำบทเรียนความ “บกพร่อง” เป็นโจทย์ ทั้งเรื่องร้องเรียนแต่ละหน่วย ไปเร่งแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น ที่ผ่านมาตำรวจทำผิดวินัยและคดีอาญาถูกให้ออกจากราชการ 3,000 นาย เป็นหน้าที่ ผบช. และ ผบก. ต้องไปแก้ไขลดลง เป็นตัวชี้วัดผลงานหัวหน้าหน่วย ทั้ง ผบช. ผบก. และ ผกก.โรงพัก”
...
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ย้ำว่า “ในส่วนของ บช.น. บช.ภ.1–9 และ บช.ศชต.เป็นงานโรงพักรับใช้ใกล้ชิดประชาชน ปัญหาส่วนใหญ่ไม่รับแจ้งความ ไม่มีคนรับโทรศัพท์ ไม่ไปดูที่เกิดเหตุหรือล่าช้า ให้ผู้เสียหายตามคดีเอง เป็นความบกพร่องที่โรงพักถูกร้องเรียนมากและปัญหาการจราจรที่ติดขัด เรียกเก็บค่าปรับจราจรและเรียกเงินตรวจเมา บช.ตชด. มีอมเงินเบี้ยเลี้ยงลูกน้อง บช.สตม. เรื่องเรียกรับผลประโยชน์ด่าน ตม.ล่าช้าในการตรวจหนังสือเดินทาง อนุมัติวีซ่านักท่องเที่ยวต่างชาติ ปล่อยให้ชาวต่างชาติอยู่เกิน บช.ก. มีตำรวจทางหลวงเรียกจับรีดผู้ประกอบรถขนส่ง ตำรวจน้ำ เป็นเรื่องแรงงานต่างด้าว และน้ำมันเถื่อน บช.ส. มีเรื่องตั้งกองทุบตีต่างด้าว บช.ศชต. มีเรื่องตำรวจนอกแถวปล้นในพื้นที่ภาค 8 เป็นหน้าที่ ผบช., ผบก. และ ผกก. นิ่งอยู่เฉยไม่ได้ ต้องแก้ไข ทำงานเชิงรุก”
“แต่ละ บช. มีรอง ผบช. และ บก. มีรอง ผบก. รับผิดชอบสลับลงไปตรวจเยี่ยมโรงพัก เยี่ยมด่าน คำร้องเรียนของพี่น้องประชาชนเป็นเรื่องสำคัญ นำมาเป็นบทเรียนแก้ไขจะทำให้ ผกก.หัวหน้าสถานีต้องอยู่ในพื้นที่บังคับบัญชาใกล้ชิด ผกก.อยู่ในพื้นที่ รอง ผกก. และ สว.ไม่กล้าออกนอกพื้นที่ ถ้า ผกก.ไม่อยู่ติดพื้นที่ ลูกน้องไม่มีใครอยู่ ประชาชนไม่ได้รับความใส่ใจ เป็นวิธีบริหารงานง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกันมาก แค่ทำให้สิ่งที่เป็นปัญหา ชาวบ้านร้องเรียน และอยู่ในพื้นที่ แก้ปัญหาอยู่กับลูกน้อง ไม่มีอะไรที่ยากเย็น เอาข้อบกพร่องมาแก้ไขให้ได้ เวลามีคดีร่วมกัน “ลงแขก” ช่วยกันทำงาน” พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวย้ำ
...
ส่วนที่เป็นปัญหาใหญ่โลกออนไลน์ พล.ต.อ.จักรทิพย์ย้ำว่า “ได้มีคำสั่งกำชับ ผบช. และ ผบก.หามาตรการรองรับการกระทำผิดสื่อทางเทคโนโลยีที่กำลังแพร่ระบาดในโลกสื่อโซเชียลออนไลน์ ซึ่งพบว่ามีคนที่กระทำความผิดเพิ่มมากขึ้น จะเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตข้างหน้าต้องให้ความสำคัญและเตรียมพร้อมรับกับสถานการณ์ โดยเฉพาะช่วงเลือกตั้ง ได้กำชับให้ ผบช. และ ผบก. เตรียมรับผู้เสียหายฟ้องร้องกัน ที่ผ่านมาคดีความผิดทางเทคโนโลยีให้ บก.ปอท.เป็นผู้รับผิดชอบ บางคดีเกิดในพื้นที่ต่างจังหวัด ผู้เสียหายต้องมาแจ้งที่ บก.ปอท.เป็นเรื่องยุ่งยากล่าช้า อาจให้ บช. และ บก. จัดตั้งหน่วยขึ้นมา โลกปัจจุบันต้องให้ความสำคัญคดีเทคโนโลยี และการทำไอโอทุกหน่วย”
พล.ต.อ.จักรทิพย์ เปิดใจถึงการทำงานและปัญหาตำรวจที่ทำให้ประชาชนไม่ไว้วางใจและเชื่อมั่นตำรวจ นโยบาย ผบ.ตร. ที่เข้าใจง่ายๆ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ และประสบการณ์ที่เติบโตมาจากงานโรงพัก และหน่วยกำลัง คาดหวังให้หัวหน้าหน่วยต้องเข้าใจงาน ตื่นตัว ก้าวทันสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลง ไม่ทำงานแบบเดิมๆ
สนองความต้องการประชาชนและรัฐบาล.
...
ทีมข่าวอาชญากรรม