“ธนสิทธิ์” พี่ชายดาราหนุ่ม “บูม จิรัชพิสิษฐ์” พร้อมทนายโร่พบตำรวจกองปราบ รับทราบข้อหาฟอกเงิน คดีตุ๋นเงินบิตคอยน์ เกือบ 800 ล้าน เจ้าตัวมั่นใจไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง...
จากกรณีนายเออาร์นี่ โมตาวา ซาริมา อายุ 23 ปี นักธุรกิจชาวฟินแลนด์ เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจกองปราบหลังถูกนายปริญญา นายธนสิทธิ์ น.ส.สุพิชฌาย์ และนายจิรัชพิสิษฐ์ หรือ บูม ดารานักแสดงชื่อดัง พี่น้องในตระกูลจารวิจิต ร่วมกันหลอกลวงให้ลงทุนซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล ดราก้อนคอยน์ (dragon coin) หรือ (DRG) โดยหลอกลวงให้ซื้อหุ้นของบริษัท เอ็กซ์เปย์ ซอฟท์แวร์ จำกัด, NX Chain Inc. และหุ้นของบริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) ด้วยการโอนเงินสกุลบิตคอยน์ สกุลเงินดิจิทัลเช่นเดียวกัน ไปยังบัญชีของคนในครอบครัวจารวิจิต รวม 5,564.44650956 เหรียญบิตคอยน์ คิดเป็นเงินไทย 797,408,454.33 บาท ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบได้รวบรวมพยานหลักฐานจนมีการออกหมายจับและสามารถติดตามจับกุมตัว นายจิรัชพิสิษฐ์ หรือ บูม ก่อนขยายผลตรวจสอบเส้นทางการเงินจนมีการออกหมายจับบุคคลในครอบครัวจารวิจิตเพิ่มเติม รวมทั้งนายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ผู้กว้างขวางในตลาดหลักทรัพย์ และนายชาคริส อาห์มัด ผู้บริหารบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง หลังพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องทางคดี แต่ต่อมา นายประสิทธิ์ และนายชาคริส นั้นผู้เสียหายได้มาถอนแจ้งความไปแล้วหลังจากตกลงชดใช้ค่าเสียหายกันได้เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ส่วนผู้ต้องหารายอื่นพนักงานสอบสวนได้ทยอยแจ้งข้อหาไปแล้วในฐานความผิดเกี่ยวกับร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันฉ้อโกง รวมถึงจับกุมตัวนายปริญญา ผู้ต้องหารายสำคัญที่หลบหนีไปกบดานซ่อนตัวอยู่ที่สหรัฐอเมริกาขณะกำลังเดินทางกลับมายังประเทศไทย ตามที่ได้เคยมีการนำเสนอไปแล้วนั้น
...
ความคืบหน้ากรณีดังกล่าวล่าสุด เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 30 ต.ค.61 ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายธนสิทธิ์ จารวิจิต พี่ชายของนายจิรัชพิสิษฐ์ หรือ บูม ดารานักแสดงชื่อดัง พร้อมด้วยทนายความได้เดินทางมาเข้าพบ พ.ต.ท.สัณห์เพ็ชร หนูทอง รอง ผกก.สอบสวน กก.1 บก.ป. ตามกำหนดหมายเรียก เพื่อเข้ารับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในข้อหา “ร่วมกันฟอกเงิน” ซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกพนักงานสอบสวนเรียกมารับทราบข้อกล่าวหา “ฉ้อโกง” จากคดีดังกล่าวไปแล้วเมื่อวันที่ 29 ส.ค. ที่ผ่านมา
นายธนสิทธิ์ กล่าวว่า วันนี้มารับทราบข้อกล่าวหาตามที่เจ้าหน้าที่นัดหมาย ในคดีร่วมกันฟอกเงินและมาพูดคุยและชี้แจงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในเบื้องต้น ส่วนของรายละเอียดทางคดีตนจะเร่งทำหนังสือชี้แจงโดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตามสำหรับคดีนี้ตนไม่ได้หนักใจมากนัก และคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา และยืนยันว่าตนเองไม่เคยพูดคุยในเรื่องของการลงทุนกับผู้เสียหาย ส่วนเรื่องเกี่ยวกับเส้นทางการเงิน ในส่วนนี้ตนเองมีเอกสารหลักฐานมายืนยันกับทางเจ้าหน้าที่พร้อมทุกอย่าง และมั่นใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้แต่อย่างใดๆ ไม่ว่าจะเป็นคดีฉ้อโกงและคดีฟอกเงิน
นายธนสิทธิ์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามยอมรับว่าเคยพบปะพูดคุยกับผู้เสียหายมากกว่า 2 ครั้ง โดยรู้จักกับผู้เสียหายเพราะมีบุคคลอื่นแนะนำให้รู้จัก และทราบดีว่าผู้เสียหายทำธุรกิจเกี่ยวกับบิตคอยน์ แต่ขอยืนยันว่าทุกครั้งที่พบเจอกัน ตนไม่ได้เป็นล่ามในการเจรจากับผู้เสียหายและทุกครั้งที่พูดคุยกับผู้เสียหาย ไม่เคยมีการพูดคุยกันถึงเรื่องการลงทุนทางธุรกิจแต่อย่างใด หลังจากนี้คาดว่าจะมีการนัดคุยทำความเข้าใจกับผู้เสียหายอีกครั้ง เพราะคิดว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นการเข้าใจผิดมากกว่า และที่ผ่านมาไม่เคยมีเงินของผู้เสียหายโอนเข้ามาในบัญชีตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว ส่วนที่เข้าออกบัญชีตัวเองนั้นมาจากบริษัทบิตคอยน์ประเทศไทยจำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ขึ้นตรงกับธนาคารแห่งประเทศไทยจำกัด ซื้อขายอย่างถูกกฎหมายและจะนำหลักฐานมาพิสูจน์กับเจ้าหน้าที่ต่อไป.