เครือข่ายแก๊งอาชญากร-มาเฟียข้ามชาติ ที่ทั่วโลกต้องการตัว หลบหนีเข้ามากบดานในไทย เปลี่ยนชื่อนามสกุล ปลอมแปลงหนังสือเดินทาง บางรายหนีมาอยู่หลายปี แต่ก่อนเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบคิดว่าเป็นแค่เรื่องคนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยเกินกว่ากฎหมาย กำหนด ไม่ได้ทำการตรวจสอบประวัติโดยละเอียด ทำให้เข้ามาอาศัยหลบซ่อนอยู่ในประเทศไทย เป็นปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศไทยอย่างมาก
ใช้เมืองไทยเป็นฐานสั่งการข้ามประเทศ ให้ลูกน้องสมุนกระทำผิด สร้างความเสียหายระดับโลก แต่ในยุครัฐบาล คสช. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กำชับฝ่ายความมั่นคง ให้เข้มข้นตรวจสอบ และดำเนินการจริงจังทุกรูปแบบ ไม่ปล่อยให้มาเฟียต่างชาติ อาชญากรข้ามชาติ ใช้เมืองไทยเป็นฐานกระทำความผิด
เป็นนโยบายที่ทำต่อเนื่อง ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติปราบปรามอาชญากรรมที่เกิดขึ้นจากแก๊งชาวต่างชาติ โดยเฉพาะอาชญากรรมข้ามชาติที่ขยายตัวเป็นวงกว้างและสลับซับซ้อน เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้จัดตั้งศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการกระทำผิดทางอาญาที่เป็นนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.)
...
มีผลงานปราบปรามจับกุมมาเฟียต่างชาติ เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่อาศัยไทยเป็นฐานกระทำความผิด หรือเป็นแหล่งซุกซ่อนกบดาน ล่าสุดเป็นระดับหัวหน้าแก๊งอุ้มเรียกค่าไถ่และฆาตกรรมชาวโมซัมบิก มีหมายจับตำรวจสากล แฝงตัวหลบหนีมาหลบซ่อนตัวและใช้เมืองไทยเป็นฐานสั่งการอุ้มเรียกค่าไถ่และคดีฆาตกรรม โดยก่อคดีไปทั่วโลก เป็นที่ต้องการตัวของหน่วยงานเอฟบีไอ สหรัฐอเมริกา และประเทศโมซัมบิก
ทางการโมซัมบิกได้ร้องขอ และส่งข้อมูลไปยังหน่วยเอฟบีไอ ประจำภูมิภาคแอฟริกา ประสานไปที่เอฟบีไอ ภูมิภาคทั่วโลก ให้ติดตาม นายโมเหม็ด อาซิฟ อับดุล ซาทาร์ สัญชาติ โมซัมบิก ผู้ต้องหารายสำคัญในฐานความผิดครอบครองอาวุธ ฆาตกรรม และลักพาตัว มีหมายแดงของตำรวจสากล
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท. รายงาน ผบ.ตร. ให้ทราบ และได้รับมอบหมายให้ พ.ต.อ.อาชยน ไกรทอง รอง ผบก.ทท.1 บช.ทท. พร้อมทีม ศปอส.ตร. ตรวจสอบข้อมูล นายโมเหม็ด อาซิฟ อับดุล ซาทาร์ ได้เข้ามาในราชอาณาจักรไทย โดยใช้หนังสือเดินทางปลอมชื่อ นายซาฮิม โมฮัมเหม็ด อัสรัม นำกำลังตำรวจ ศปอส.ตร. ร่วมกับตำรวจงานสายตรวจ 1 บก.สปพ. ตำรวจท่องเที่ยว และตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตรวจสอบพบมีชายมีตำหนิรูปพรรณตรงกับ นายโมเหม็ด อาซิฟ อับดุล ซาทาร์ อยู่ที่ล็อบบี้โรงแรมมาริออท ซอยสุขุมวิท 57
จึงเข้าควบคุมตัวและพิมพ์ลายนิ้วมือส่งไปตรวจพิสูจน์ ที่กองพิสูจน์หลักฐานกลาง เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับลายพิมพ์นิ้วมือตามหมายแดงของตำรวจสากล กองพิสูจน์หลักฐานกลางได้ตรวจสอบลายพิมพ์นิ้วมือทั้ง 10 นิ้ว ยืนยันเป็นบุคคลคนเดียวกันตามหมายแดงของตำรวจสากล
พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นการกระทำเข้าลักษณะเป็นบุคคลต้องห้ามตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง จึงได้เสนอความเห็นไปยัง พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผบช.สตม. ทำการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร เพื่อทำการตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ทางการโมซัมบิกได้ยืนยันว่า ระหว่างที่ผู้ต้องหารายนี้ได้หลบหนีออกนอกประเทศในเวลา 3 ปี ได้สั่งการให้คนในองค์กรลักพาตัวและเรียกค่าไถ่ทั้งในประเทศโมซัมบิก และอีกหลายประเทศในทวีปแอฟริกา
เป็นระดับหัวหน้าขององค์กร จะสั่งให้ลูกน้องไปลักพาตัว นักธุรกิจที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศโมซัมบิก เพื่อนำตัวไปเรียกค่าไถ่ ถ้าไม่ได้รับเงินจะฆ่าเหยื่อทันที โดยมีเหยื่อถูกฆ่าไปแล้ว 2 ราย
มีการทำร้ายและฆ่าเจ้าหน้าที่ของทางการโมซัมบิกและครอบครัวเจ้าหน้าที่ที่สืบสวนเอาผิดกับองค์กรนี้ ทำให้เป็นที่หวาดกลัวของเจ้าหน้าที่ รวมถึงประชาชนเป็นอย่างมาก
...
ถือเป็นผู้ต้องหาที่ต้องการตัวอันดับ 1 ของประเทศโมซัมบิก เพราะมีเส้นสายอิทธิพลทุกวงการ หนีมาไทยตั้งแต่ปี 58 เป็นคนสั่งสังหารอัยการที่ทำคดี โดยใช้อาวุธสงครามยิงที่ศีรษะ 16 นัด ต่อหน้าภรรยาและลูก และใน ปี 59 ให้ลูกน้องลักพาตัวเศรษฐีไปเรียกค่าไถ่ไม่น้อยกว่า 50 ราย รายละ 100 ล้านบาท หากไม่จ่ายจะลงมือฆ่า
เป็นกลุ่มมาเฟียที่มีอิทธิพลแผ่ขยายไปนอกประเทศ โดยร่วมมือกับแก๊งต่างๆทั่วแอฟริกา
วันที่ตำรวจไทยร่วมกับหน่วยสืบสวนเอฟบีไอ สหรัฐอเมริกา จับกุม นายโมเหม็ด อาซิฟ อับดุล ซาทาร์ ที่ประเทศโมซัมบิกได้เผยแพร่ข่าวการจับกุมผู้ต้องหาทั้งวัน เป็นข่าวใหญ่มาก ซึ่งในการทำงานทางการโมซัมบิกประสานทางการไทยต้องใช้วิธีลับสุดยอด ปกปิดภารกิจทุกอย่าง โดยมีเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ ประจำประเทศไทยและแอฟริกาช่วยประสานงานอย่างใกล้ชิด ดำเนินการทุกอย่างรัดกุม โดยเฉพาะการส่งตัวกลับไปดำเนินคดี
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท. กล่าวว่า “การจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญรายนี้ ตำรวจได้รับการประสานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสืบทราบว่ามีผู้ต้องหารายสำคัญ เป็นระดับหัวหน้าแก๊งอุ้มเรียกค่าไถ่และฆาตกรรมชาวโมซัมบิก มีหมายจับตำรวจสากล ได้แฝงตัวหลบหนีมาหลบซ่อนตัว และใช้ประเทศไทยเป็นฐานสั่งการอุ้มเรียกค่าไถ่และฆาตกรรม โดยก่อคดีไปทั่วโลก เป็นที่ต้องการตัวของเอฟบีไอ และประเทศโมซัมบิก ก่อนที่ตำรวจนำกำลังตำรวจไปควบคุมตัวได้ที่โรงแรมย่านสุขุมวิท เมื่อตรวจสอบพบว่าผู้ต้องหามีการเปลี่ยนชื่อ ใช้ชื่อหนังสือเดินทางชื่ออื่น ลักลอบเข้ามาในประเทศไทย แต่ผลตรวจเปรียบเทียบลายพิมพ์นิ้วมือของกองพิสูจน์หลักฐานชัดเจนว่าเป็นบุคคลเดียวกับผู้ต้องหารายสำคัญตามหมายแดงของอินเตอร์โพล ได้ประสาน ผบช.สตม. ให้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร เนื่องจากมีลักษณะต้องห้ามตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง และได้ประสานทางการโมซัมบิกแจ้งผลการจับกุมตัว เป็นเรื่องที่ต้องประสานงานใกล้ชิดและรัดกุม เนื่องจากผู้ต้องหาถือเป็นผู้มีอิทธิพลในประเทศโมซัมบิก การจับกุมถือเป็นนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ให้ปราบปรามอาชญากรข้ามชาติ มาเฟียชาวต่างชาติที่เข้ามาใช้เมืองไทยเป็นฐานกระทำความผิด ซึ่งมีผลต่อความมั่นคงของประเทศไทย”
...
การจับกุมมาเฟียอุ้มฆ่าเรียกค่าไถ่โมซัมบิกของตำรวจท่องเที่ยว แม้เป็นข่าวที่คนไทยไม่ค่อยสนใจ คิดว่าเป็นเพียงการจับกุมต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง แต่ในหน่วยงานเอฟบีไอ และทางการโมซัมบิก ถือเป็นเรื่องใหญ่ เป็นความสามารถของตำรวจไทยที่ช่วยเหลือจับกุมมาเฟียแถวหน้าของทางการโมซัมบิกมาดำเนินคดี
ผลงานที่แสดงให้ทั่วโลกได้เห็นฝีมือตำรวจไทย และนโยบายเข้ม คสช. ที่ไม่ให้มาเฟียต่างชาติใช้ไทยเป็นฐานกระทำผิด และเป็นการส่งสัญญาณไปยังเครือข่ายอาชญากร-มาเฟียข้ามชาติ ที่หลบหนีคดี และคิดใช้เมืองไทยเป็นฐานสั่งกระทำความผิด
ไม่กล้าเข้ามากระทำความผิดอีก.
ทีมข่าวอาชญากรรม