ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์อันเปียกปอนและสนุกสนาน ซึ่งเป็นเวลาที่หลายๆท่านที่จากบ้านเกิดตัวเองมาทำงานไกลๆได้มีโอกาสกลับบ้านไปเยี่ยมเยียนบุคคลอันเป็นที่รัก ในวันอาทิตย์นี้เราขอเอาใจคนรักรถที่กำลังเดินทางด้วยเรื่องของผิวสีรถของท่าน ในระหว่างการเดินทางเช่นนี้ การจะมีคราบต่างๆติดอยู่บนตัวรถท่านนั้น เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ อย่าเพิ่งหัวเสียหรือมีเรื่องกับใครหากสิ่งเหล่านี้แก้ไขได้ เพียงแต่คุณต้องทราบว่าต้องแก้เร็วแค่ไหน และด้วยวิธีใด อย่าลืมนะครับว่า ช่วงสงกรานต์ ร้านล้างรถเกือบจะทั้งหมดก็ปิดหยุดเช่นกัน เจอคราบแบบไหน จัดการอย่างไร เรารวมมาให้แล้วที่นี่

เวียนมาถึงอีกครั้งกับเทศกาลวันขึ้นปีใหม่สไตล์ชาวไทย เทศกาลสาดน้ำที่เหล่าวัยรุ่นจะออกไปเฮอาตามสถานที่ต่างๆในขณะที่มนุษย์ Gen X ที่เหนื่อยสะสมมาตั้งแต่งานมอเตอร์โชว์ขออนุญาตลาพักผ่อนยาวๆอยู่กับบ้าน จะเล่นกับแมว แมวก็ดันกลับดาวไปตั้งแต่ช่วงก่อนมอเตอร์โชว์เสียแล้ว เลยเอาเวลามานั่งปั่นบทความดีกว่าครับ คิดว่าวันที่บทความนี้ออก หลายๆท่านก็คงอยู่ระหว่างการเดินทางเป็นแน่แท้ แต่เรื่องที่จะบอกต่อไปนี้ อันที่จริงไม่ต้องใช้ช่วงสงกรานต์อย่างเดียวหรอกครับ จะใช้ช่วงไหนก็ได้ แต่ผมเล่นบทขี้เกียจ เอามาเติมสิ่งที่มักพบช่วงสงกรานต์เข้าไปแล้วรีบปั่นงานส่งน้าฉ่าง อาคม รวมสุวรรณ หัวหน้าบก.ของผม แล้วผมก็อาจมีเวลาเหลือไปเล่นน้ำกับเด็กบรรลุนิติภาวะแล้วบ้าง
...


คุณผู้อ่านครับ สีของรถยนต์นั้น แม้ว่ามันจะทนทานกว่ารักแรกสมัยเรียนมัธยมของคุณๆส่วนใหญ่ แต่ Clear coat ที่มันปกป้องสีชั้นบนสุดอยู่นั้น บางกว่ากระดาษ A4 หลายสิบเท่านัก มันจึงเป็นสาเหตุที่หลายๆคนประเคนสิ่งประทินผิวรถให้เสียยิ่งกว่าเบ้าหน้าตัวเองเสียอีก (ผมคนนึงที่เชื่อว่าผิวหน้าผมด้านกว่าผิวรถผมแน่นอน) แล้วรถนี่น่ะ มันคือสิ่งที่เราต้องพาไปไหนมาไหนด้วยตลอด โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลแบบนี้ บวกกับการเดินทาง มันย่อมมีบางสิ่งที่สามารถทำลายผิวสีรถได้ บางท่านทราบแล้ว บางท่านอาจจะยัง บางท่านทราบเมื่อสายเกินไป ผมเลยยกหูหาคุณอุดม จินตวิวัฒน์วงศ์ หรือเฮียเคี้ยง ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการบำรุงสีรถยนต์จาก Crystal Point ที่ผมรู้จักมาตั้งแต่เจอครั้งแรกตอนซื้อ Nissan Tiida C11 ป้ายแดงด้วยกันทั้งคู่ เพราะคุณเคี้ยงรู้มามาก และเจอรถสีเสียๆมาเกือบ 20 ปีแล้วครับ ขอยืมคำของเฮียเคี้ยงมาเขียนหน่อยเพื่อคนอ่านไทยรัฐวันอาทิตย์


เอาสิ่งที่เราเจอได้ช่วงสงกรานต์กันก่อนนะครับว่ามีอะไรบ้าง อย่างแรกเลยก็คือแป้งครับ ไม่ใช่แป้งโกกิอร่อยกรอบนะ แต่เป็นสารพัดแป้งคนน้ำ และดินสอพองทั้งหลายนี่ล่ะครับ เทศกาลแบบนี้เราจะไปห้ามไม่ให้เด็กๆเขาเล่น มันก็ยากครับ บางบ้านไม่เด็กแล้ว แต่เมาตั้งแต่หัววัน คุณขับรถผ่าน จะบีบแตรหรือโบกมือห้ามก็เขาก็ไม่ฟังหรอกครับ ยิ่งเปิดกระจกด่าโอกาสโดนถึงตัวถึงหน้ายิ่งสูง ก็คงต้องปล่อยให้เขาเอาแป้งปะละเลงรถเอาตามใจชอบ ข้อดีของแป้งคือมันอ่อนครับ ตัวมันโปะลงบนรถเฉยๆไม่เป็นไร แหวนของมนุษย์ป้าเมาน้ำตาลเป๊ปซี่ที่สวมอยู่บนนิ้วขณะรูดแป้งบนรถคุณน่าจะยังอันตรายเสียกว่า
...


แต่แป้งและดินสอพองนี่ เฮียเคี้ยงบอกว่ามันมีความเป็นด่างครับ ด่าง บวกแดดเมืองไทย สักพักสีรถก็จะด่างตรงจุดนั้น ใครที่ก่อนหน้านี้ทำบุญให้รถโดยการขยันแวกซ์ก็มีสิทธิ์รอด แต่บริเวณที่โดนยังไงมันก็จะด่างผิดกับบริเวณอื่น ยิ่งถ้าคุณใจเย็นแล้วจอดตากแดดข้ามวัน โอกาสสีด่างยิ่งสูงครับ ถ้าโดนขึ้นมา ก็ใช้น้ำเปล่าเทตรงที่โดนแล้วเอามือลูบๆไปพร้อมๆกันจนคราบแป้งหายครับ ถ้าเป็นตอนขับกลับบ้านพอดี คุณแวะซื้อแชมพูล้างรถ ถ้าตามเซเว่นก็จะมียี่ห้อ Triton ที่ใช้ดีไม่เลวเลยแหละ เอามาผสมอัตราส่วนตามฉลาก ฉีดน้ำบริเวณที่โดนแป้ง เอาแชมพูบิดฟองน้ำถูไม่ต้องกดแรง แล้วล้างออกด้วยน้ำทันทีก่อนเช็ดให้แห้ง
...


และอย่าทิ้งให้แชมพูโดนแดดเผาล่ะครับ อันนี้ก็จะด่างเกยชัยเช่นกัน แม้กระทั่งน้ำประปา ก็ไม่ได้เหมือนน้ำฝนนะครับ น้ำประปาที่เราฉีดล้างรถ ถ้าทิ้งหยดน้ำค้างบนรถแล้วตากแดดข้ามวัน รถคุณจะพร้อมไปเล่นหนัง 101 ดัลเมเชี่ยนได้เลย ดังนั้นเช็ดให้แห้งครับ เวลาขับรถไปแล้วโดนน้ำสาด น้ำประปาที่สาดก็ส่วนผสมเดียวกับน้ำที่บ้านคุณใช้ครับ ยิ่งบางที่ สูบน้ำข้างคลองมาฉีดใส่กัน อันนี้ถึงแม้จะไม่มีคลอรีน แต่มีดินทรายที่ปนมากับน้ำครับ วิธีคลีนเบื้องต้นก่อนโดนแดด ก็เอาน้ำพ่นหรือรินใส่แล้วเอามือลูบไปทั่วๆ แล้วเช็ดให้แห้ง
...
ช่วงสงกรานต์ร้านล้างรถหยุด แต่ต่อให้คุณไม่มีอะไรเลย ในเซเว่นมีน้ำ มีผ้าในสังเคราะห์สำหรับเช็ด และบางที่มีฟองน้ำกับแชมพูด้วยครับ ซื้อมาช่วยชีวิตรถตัวเองไปก่อน


ในกรณีฝ่าเท้าที่สุด บางคนอาจจะยังเจออยู่สมัยนี้คือ น้ำหวานนรกครับ บางคนนี่น่าเอาแหนบรถกระบะมาตีมือ น้ำดีๆไม่ชอบ พวกเล่นเทน้ำหวานผสมเม็ดแมงลักลงไปด้วย แบบนี้คือกะจะแกล้งเอามันส์จริงๆเลย (สมัยนี้เจอน้อยลงแล้วถ้าไม่ซวยจริง) การจะคลีนน้ำหวานเปล่าๆ ก็ใช้แค่น้ำฉีดหรือรินลงจุดที่โดนพร้อมเอามือลูบ แล้วเช็ดให้แห้งครับ ส่วนเม็ดแมงลักน่ะ ถ้าคุณคลีนเร็วพอมันจะไหลลงมากับสายน้ำตามเรื่องของมันเอง
แต่ในกรณีที่เม็ดแมงลักแห้งกรังติดตัวรถไปแล้ว อย่าไปเอานิ้วแคะ (ยกเว้นว่าคุณไม่ได้แคร์สีรถอยู่แล้วก็จัดได้เลย) คุณเอาทิชชูวางลงทับเม็ดแมงลักตรงนั้น แล้วเทน้ำใส่ รอประมาณ 3 นาทีแล้วกดทิชชูเบาๆแล้วบีบก่อนยกออก (อย่ากดแรง อย่าถู) เม็ดแมงลักมันโดนน้ำนานๆตัวมันจะนุ่ม ตอนนี้คุณสะกิดเบาๆหรือเอาน้ำฉีดหน่อยมันก็ร่วงแล้วครับ

วิธีการเอาเม็ดแมงลักออก คุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการกำจัดขี้นก ซึ่งในบรรดาทุกสรรพสิ่งในวันนี้..ต้องบอกว่าขี้นก คือภัยธรรมชาติของสีรถ..และขี้นกบวกแดดไทย ก็เปรียบได้ดังวันล้างโลกของ Clear coat บนชั้นสีรถเลยครับ มันกัดไม่เจ็บกายแบบหมากัด แต่เจ็บถึงใจเจ้าของรถทุกคนเวลาไปล้างตอนหลังแล้วเจอว่าสีบริเวณนั้นด่างแบบขัดเท่าไหร่ก็ไม่หาย คุณอาจไม่ถึงขั้นต้องจอดกลางไฮเวย์ มอเตอร์เวย์ เพื่อรีบเอาขี้นกออกหรอกครับ (สีรถด่างยังไงก็ปลอดภัยกว่าท้ายรถที่โดนรถซิ่งไหลทางพุ่งมาชน) แต่เมื่อมีโอกาส..ก็แวะที่ปลอดภัย ขยุมทิชชูพับให้ขนาดพอดีไซส์ขี้นก แล้วโปะ เทน้ำรด รอ 3 นาทีแล้วหยิบในลักษณะรวบออก ถ้ามันยังเหลือคราบ ก็ทำแบบเดิมซ้ำ จนถึงจุดที่คุณคิดว่าไม่แคร์แล้วก็เอาน้ำล้างๆลูบๆได้ แต่ต้องมันใจว่าไม่เหลือขี้มากจนทำลายสีได้แล้ว
แล้วอย่าลืมไปล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาด ขี้นกนี้สารพัดเชื้อโรค บางอย่างคนที่แพ้นี่เข้าโรงพยาบาลได้นะครับ คุณกู้โลกให้รถแล้ว อย่าให้โลกต้องกู้ชีพคุณ ไม่ตลก สบู่โง่ๆกับน้ำก๊อกเซฟชีวิตคุณได้ ล้างซะก่อนจะไปจับ KFC กิน
ต่อมา สิ่งที่สามารถเจอได้โดยเฉพาะในบริเวณที่มีการก่อร่างสร้างถนน ปรับปรุงสภาพใหม่ นั่นก็คือคราบยางมะตอย ซึ่งเวลาคุณวิ่งผ่านถนนดำๆเมี่ยมๆแล้วเห็นรถบดถนนจอดหรือแล่นอยู่ข้างทางแถวๆนั้น ทำใจได้เลยครับ ทิ้งระยะห่างคันหน้าพอประมาณ แล้วขับไป ถ้ามีจุดที่สะดวกจอดเช็คดูหน่อยว่าโดนหรือไม่ มันมักจะเป็นสะเก็ดเล็กๆดำๆพบตามกันชนหน้า ซุ้มล้อ และบริเวณด้านข้างตอนล่างๆ ถ้าพบเมื่อไหร่ กำจัดมันก่อน ก่อนที่มันจะฝังแน่นติดไปกับตัวรถครับ ถ้าเจอคาร์แคร์ที่ดูน่าเชื่อถือและทำเป็น/เคยทำ ก็ให้มืออาชีพทำได้

แต่ถ้ามืออาชีพไม่ว่าง..มือสมัครเล่นก็ทำเองได้ครับ สิ่งที่สามารถเอายางมะตอยออกได้และหาง่ายหน่อยคือน้ำมันสน น้ำมันก๊าด แต่ถ้าจะให้ดีผมแนะนำสเปรย์ SONAX น้ำมันครอบจักรวาลสีส้มๆหรือ WD-40 ก็ได้ถ้าคุณหรือคนรอบตัวไม่ค่อยชอบกลิ่นน้ำมันสไตล์อุตสาหกรรมหนักของ SONAX (WD-40 หอมกว่าครับแต่การใช้งานในเรื่องลบยางมะตอยผมว่าไม่ต่างกัน) คุณพ่นไปเฉพาะตรงที่มันโดนยางมะตอย ให้เลือกวิธี พ่นที่ละจุด และลบทีละจุด อย่าพ่นเป็นวงกว้างๆแล้วค่อยมาคลีนทีละจุดครับ เพราะคุณจะไปเก็บงานตามจุดที่พ่นไม่ทัน รถจะด่างเอาได้ พ่นเสร็จรอ 2 นาที แล้วเอาผ้ามา พ่นสเปรย์ใส่ผ้านิดหน่อย แล้วเอาไปถูๆเบาๆตรงที่โดนยางมะตอยจนมันออกหมด ทำแบบน้ำทีละจุดๆจนยางมะตอยออกหมด แล้วก็เอาน้ำกับล้างด้วยแชมพูล้างรถ ฉีดน้ำล้างอีกรอบ เช็ดแห้ง เป็นอันเสร็จ
ส่วนคราบอีกแบบที่มักเจอ ก็คือเกสรดอกไม้ เป็นคล้ายๆฝุ่นก้อนเล็กมาก สีเหลืองๆหรือสีขาว มันจะติดบนรถเหมือนละอองสีเลยครับ แต่ขนาดมันจะเท่ากันเกือบหมด กับอีกอย่างก็คือยางไม้ เวลาไปจอดใต้ต้นไม้แล้วเราลืมสำรวจพื้นตรงนั้นก่อนว่ามีคราบยางไหม ผมเคยโดน เห็นที่จอดว่างๆก็นึกว่าใครวะช่างโง่ไม่ยอมจอดตรงนั้น สรุปคนโง่คือผม ยางไม้เต็มคันรถเลยครับ ทั้งเกสร และยางไม้นี่ คุณเอาถังมาผสมน้ำกับแชมพูล้างรถ แต่ใส่น้ำน้อยกว่าปกติมาก เอาเป็นว่าน้ำ 500 ซีซีกับแชมพูสามฝามันไปเลย แล้วเอามาเช็ดทำความสะอาดตรงจุดที่โดน อย่าล้างทั้งคันนะครับ ทำทีละจุด และอย่าทำกลางแดด เพราะแชมพูเข้มข้นเจอแดดเผาก็ทำให้รถเป็นด่างได้เหมือนกัน ค่อยๆถูเอายางและเกสรออกให้หมด แล้วตอนที่ล้างปิดงานรอบคัน ค่อยผสมแชมพูกับน้ำในอัตราส่วนปกติ
นี่ล่ะครับ คราบต่างๆที่เลี่ยงได้ยากในการเดินทางไกล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสงกรานต์ สิ่งที่สำคัญก็คือ คุณอาจไม่ต้องรีบเอาคราบออกมันเดี๋ยวนั้นเลย หรือจอดกลางมอเตอร์เวย์เพื่อล้างคราบ (สีรถ ถูกกว่าชีวิตคุณและคนในรถมากครับ) แต่เมื่อมีโอกาส ทำความสะอาดได้ก็ทำ แดดไทยมันโหดครับ มันไปบวกกับเคมีอะไร ก็เหมือนแท็กทีม Undertaker กับ Kane ที่จะสกรัมสีรถคุณให้หมองได้ง่ายๆ ส่วนมากที่ล้างแล้วไม่หาย เป็นด่างเกยชัยกัน คือทิ้งไว้จนผ่านแดดนานเช้ายันเย็น นั่นล่ะครับ เอาไม่ออก
ขอให้ทุกท่านโชคดี ประสบสุขกับการเดินทางครั้งนี้ และถ้าให้ดี อย่าได้เจอคราบอะไรก็ตามที่ผมเขียนถึงข้างบนนี้เลยครับ
Pan Paitoonpong